พระสูตรยังดำรงอยู่ตราบใด พระวินัยยังรุ่งเรืองอยู่ตราบใด ภิกษุทั้งหลายย่อมเห็นแสงสว่าง ภิกษุทั้งหลายย่อมเห็นแสงสว่าง เหมือนพระอาทิตย์อุทัย อยู่ตราบนั่น

ข้อมูลจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

(พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน) และ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๖) (ปกสีแดง)

  

“พระสูตรยังดำรงอยู่ตราบใด

พระวินัยยังรุ่งเรืองอยู่ตราบใด

ภิกษุทั้งหลายย่อมเห็นแสงสว่าง

เหมือนพระอาทิตย์อุทัย อยู่ตราบนั่น

เมื่อพระสูตรไม่มีและแม้พระวินัยก็หลงเลือนไป

ในโลกก็จักมีแต่ความมืด

เหมือนพระอาทิตย์อัสดงคต

เมื่อภิกษุยังรักษาพระสูตรอยู่

ย่อมเป็นอันรักษาปฏิบัติไว้ด้วย

นักปราชญ์ดำรงอยู่ในการปฏิบัติ

ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ ดังนี้”

 

“เมื่อพระปริยัตติอันตรธานไป

ปฏิบัติก็ย่อมอันตรธาน

เมื่อปริยัตติคงอยู่ ปฏิบัติก็คงอยู่.”

 

เล่ม ๓๒ หน้า ๑๗๒-๑๗๕ (ปกสีน้ำเงิน) / หน้า ๑๔๘-๑๕๐ (ปกสีแดง)

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑

 

บางส่วนของ อรรถกถาวรรคที่  ๑๐

 

จริงอยู่เมื่อพระปริยัตติอันตรธานไป

ปฏิบัติก็ย่อมอันตรธาน

 

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต

เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๗๓ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)

 

เมื่อปริยัตติคงอยู่ ปฏิบัติก็คงอยู่.

เพราะเหตุนั้นแหละ ในคราวมีภัยใหญ่

ครั้งพระเจ้าจัณฑาลติสสะในทวีปนี้

ท้าวสักกะเทวราช นิรมิตแพใหญ่

แล้วแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ภัยใหญ่จักมี ฝนจักไม่ตกต้องตามฤดูกาล

ภิกษุทั้งหลายพากันลำบากด้วยปัจจัย ๔

จักไม่สามารถเพื่อจะทรงพระปริยัติไว้ได้.

ควรที่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย

จะไปยังฝั่งโน้นรักษาชีวิตไว้

โปรดขึ้นแพใหญ่นี้ไปเถิด เจ้าข้า

ที่นั่งบนแพนี้ ไม่เพียงพอแก่ภิกษุเหล่าใด

ภิกษุเหล่านั้น จงเกาะขอนไม้ไปเถิด

ภัยจักไม่มีแก่ภิกษุทั้งปวง.

ในกาลนั้น ภิกษุ ๖๐ รูปไปถึงฝั่งสมุทร

แล้วกระทำกติกากันไว้ว่า

ไม่มีกิจที่พวกเราจะไปในที่นั้น

พวกเราจักอยู่ในที่นี้แล จักรักษาพระไตรปิฎก

ดังนี้แล้ว จึงกลับจากที่นั้นไปสู่ทักขิณมลยะชนบท

เลี้ยงชีวิตอยู่ด้วยรากเหง้า และใบไม้.

เมื่อร่างกายยังเป็นไปอยู่ก็พากันนั่งกระทำการสาธยาย

เมื่อร่างกายเป็นไปไม่ได้

ย่อมพูนทรายขึ้นล้อมรอบศีรษะไว้ในที่เดียวกัน

พิจารณาพระปริยัติ.

โดยทำนองนี้ ภิกษุทั้งหลาย

ทรงพระไตรปิฎก พร้อมทั้งอรรถกถา

ให้บริบูรณ์อยู่ได้ถึง ๑๒ ปี.

          เมื่อภัยสงบ ภิกษุ ๗๐๐ รูป

ไม่ทำแม้อักขระตัวหนึ่ง

แม้พยัญชนะตัวหนึ่ง ในพระไตรปิฎก

พร้อมทั้งอรรถกถาจากสถานที่ ๆ ตนไปแล้ว

ให้เสียหาย มาถึงเกาะนี้แหละ

เข้าไปสู่มณฑลารามวิหาร ในกัลลคามชนบท. 

ภิกษุ ๖๐ รูป ผู้ยังเหลืออยู่ในเกาะนี้

ได้ฟังเรื่องการมาของพระเถระทั้งหลาย คิดว่า

จักเยี่ยมพระเถระทั้งหลาย

จึงไปสอบทานพระไตรปิฎกกับพระเถระทั้งหลาย

ไม่พบแม้อักขระตัวหนึ่ง แม้พยัญชนะตัวหนึ่ง

ชื่อว่าไม่เหมาะสมกัน.

 

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต

เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๗๔ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)

 

          พระเถระทั้งหลายเกิดสนทนากันขึ้นในที่นั้นว่า

ปริยัติเป็นมูลแห่งพระศาสนา หรือปฏิบัติเป็นมูล.

พระเถระผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร กล่าวว่า

ปฏิบัติเป็นมูลแห่งพระศาสนา.

ฝ่ายพระธรรมกถึกทั้งหลาย กล่าวว่า

พระปริยัติเป็นมูล.

ลำดับนั้น พระเถระเหล่านั้นกล่าวว่า

เราจะไม่เชื่อโดยเพียงคำของท่านทั้งสองฝ่ายเท่านั้น

ขอพวกท่านจงอ้างพระสูตรที่พระชินเจ้าทรงภาษิตไว้.

พระเถระ ๒ พวกนั้นกล่าวว่า

การนำพระสูตรมาอ้าง ไม่หนักเลย

พระเถระฝ่ายผู้ทรงผ้าบังสุกุล จึงอ้างพระสูตรว่า

ดูก่อนสุภัททะ.

ก็ภิกษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ พึงอยู่โดยชอบ

โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย.

ดูก่อนมหาบพิตร พระศาสนาของพระศาสดา

มีปฏิบัติเป็นมูล มีการปฏิบัติเป็นสาระ

เมื่อทรงอยู่ในการปฏิบัติ ก็ชื่อว่ายังคงอยู่.

ฝ่ายเหล่าพระธรรมกถึกได้ฟังพระสูตรนั้นแล้ว

เพื่อจะรับรองวาทะของตน จึงอ้างพระสูตรนี้ว่า

 

                    พระสูตรยังดำรงอยู่ตราบใด

          พระวินัยยังรุ่งเรืองอยู่ตราบใด

          ภิกษุทั้งหลายย่อมเห็นแสงสว่าง

          เหมือนพระอาทิตย์อุทัย อยู่ตราบนั่น

          เมื่อพระสูตรไม่มีและแม้พระวินัยก็หลงเลือนไป

          ในโลกก็จักมีแต่ความมืด

          เหมือนพระอาทิตย์อัสดงคต

          เมื่อภิกษุยังรักษาพระสูตรอยู่

          ย่อมเป็นอันรักษาปฏิบัติไว้ด้วย

          นักปราชญ์ดำรงอยู่ในการปฏิบัติ

          ย่อมไม่คลาดจากธรรมอันเกษมจากโยคะ ดังนี้

 

เมื่อพระธรรมกถึก นำพระสูตรนี้มาอ้าง

พระเถระผู้ทรงผ้าบังสุกุล

 

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต

เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๗๕ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)

 

ทั้งหลายก็นิ่ง.

คำของพระเถระผู้เป็นธรรมกถึกนั้นแล เชื่อถือได้.

เหมือนอย่างว่า ในระหว่างโคผู้ ๑๐๐ ตัว

หรือ ๑๐๐๐ ตัว เมื่อไม่มีแม่โคผู้จะรักษาเชื้อสายเลย

วงศ์เชื้อสาย ก็ไม่สืบต่อกัน ฉันใด

เมื่อภิกษุเริ่มวิปัสสนา ตั้ง ๑๐๐ ตั้ง ๑๐๐๐ รูป มีอยู่

แต่ปริยัติไม่มี ชื่อว่าการแทงตลอดอริยมรรคก็ไม่มี

ฉันนั้นนั่นแล.

อนึ่งเมื่อเขาจารึกอักษรไว้หลังแผ่นหิน

เพื่อจะให้รู้ขุมทรัพย์ อักษรยังทรงอยู่เพียงใด

ขุมทรัพย์ทั้งหลาย

ชื่อว่ายังไม่เสื่อมหายไปเพียงนั้น ฉันใด

เมื่อปริยัติ ยังทรงอยู่ พระศาสนา

ก็ชื่อว่ายังไม่อันตรธาน ไป ฉันนั้น เหมือนกันแล.

 

จบ  อรรถกถาวรรคที่  ๑๐

 

http://www.tripitaka91.com/32-172-22.html