เหตุและปัจจัยที่ทำให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นานและพระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว

ข้อมูลจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

(พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน) และ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๖) (ปกสีแดง)

  

“พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว

พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในศาสดา

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในธรรม

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสงฆ์

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสิกขา

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน

ดูก่อนกิมพิละ

นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย

เครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน

ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว.”

 

“ดูก่อนกิมพิละ

เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว

พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในศาสดา

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในธรรม

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในสงฆ์

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในสิกขา

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงกันและกัน

ดูก่อนกิมพิละ

นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย

เครื่องให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นาน

ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว.”

 

เล่ม ๓๖ หน้า ๔๔๖-๔๔๘ (ปกสีน้ำเงิน) / หน้า ๔๓๙-๔๔๑ (ปกสีแดง)

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓

 

๑. กิมพิลสูตร

ว่าด้วยเหตุปัจจัยทำให้ศาสนาเสื่อม

 

          [๒๐๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า

ประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันใกล้เมืองกิมิลา

ครั้งนั้น ท่านพระกิมพิละ

ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ

ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย

เครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน

ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว

พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในศาสดา

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในธรรม

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสงฆ์

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในสิกขา

เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน

ดูก่อนกิมพิละ

นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย

เครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน

ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว.

          กิม.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นาน

ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว.

          พ.  ดูก่อนกิมพิละ

เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว

พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในศาสดา

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในธรรม

เป็นผู้มีความเคารพ

 

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

เล่ม ๓ - หน้าที่ ๔๔๗ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)

 

มีความยำเกรงในสงฆ์

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงในสิกขา

เป็นผู้มีความเคารพ มีความยำเกรงกันและกัน

ดูก่อนกิมพิละ

นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย

เครื่องให้พระสัทธรรมดำรงอยู่ได้นาน

ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว.

 

จบกิมพิลสูตรที่  ๑

 

ปัญจมปัณณาสก์

กิมพิลวรรควรรณนาที่ ๑

อรรถกถากิมพิลสูตร

 

          พึงทราบวินิจฉัยในกิมพิลสูตรที่ ๑ แห่งปัณณาสก์ที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-

          บทว่า  กิมฺพิลายํ  ได้แก่ ในเมืองที่มีชื่ออย่างนี้.

บทว่า  เวฬุวเน  คือ ในป่ามุขจลินท์.

บทว่า  เอตทโวจ  ได้ยินว่า

พระเถระนี้ เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองนั้น

บวชในสำนักของพระศาสดา ได้บุพเพนิวาสญาณ

พระเถระนั้น เมื่อระลึกถึงขันธสันดานสืบต่อขันธ์อันตนเคยอยู่แล้ว

บวชแล้ว ในเวลาที่ศาสนาของพระกัสสปทศพลเสื่อม.

เมื่อบริษัท ๔ ทำความไม่เคารพในศาสนาอยู่

จึงพาดบันไดขึ้นภูเขา ทำสมณธรรมบนภูเขานั้น

ได้เห็นความที่ตนเคยอยู่แล้ว.

ท่านเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว

หมายจะทูลถามถึงเหตุนั้นดังนี้

แล้วจึงได้กราบทูลคำเป็นต้นว่า  โก   นุ  โข  ภนฺเต  ดังนี้

กะพระศาสดานั้นอย่างนี้.

 

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

เล่ม ๓ - หน้าที่ ๔๔๘ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)

 

          บทว่า  สตฺถริ  อคารวา  วิหรนฺติ  อปฺปติสฺสา  ความว่า

ย่อมไม่ตั้งความเคารพและความเป็นใหญ่

ไว้ในพระศาสดา.

แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.

          ในบทเหล่านั้น

ภิกษุเมื่อเดินกั้นร่ม

สวมรองเท้าที่ลานพระเจดีย์ เป็นต้นก็ดี

พูดเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์มีประการต่าง ๆ ก็ดี

ชื่อว่า ไม่เคารพในพระศาสดา.

อนึ่ง นั่งหลับในโรงฟังธรรมก็ดี

พูดเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์มีประการต่าง  ๆ ก็ดี

ชื่อว่า ไม่เคารพในพระธรรม.

เมื่อพูดถึงเรื่องต่าง ๆ ยกแขนส่ายในท่ามกลางสงฆ์

ไม่ทำการยำเกรงในภิกษุผู้เถระ

ผู้นวกะ (ผู้ใหม่) และผู้มัชฌิมะ (ผู้ปานกลาง)

ชื่อว่า ไม่เคารพในสงฆ์อยู่.

เมื่อไม่ทำสิกขาให้บริบูรณ์

ชื่อว่า ไม่เคารพในสิกขา

เมื่อทำการทะเลาะบาดหมางเป็นต้น

กะกันและกัน

ชื่อว่า ไม่เคารพกันและกัน.

 

จบอรรถกถากิมพิลสูตรที่  ๑

 

http://www.tripitaka91.com/36-446-2.html

 

https://www.youtube.com/watch?v=-MYnq_GII3E

D-study.com

ช่องทางการติดต่อ

facebook FaceBook

phone 0894453994