โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘ (พระบัญญัติ ภิกษุ รับ ให้รับ หรือยินดีทองเงิน อันเขาเก็บไว้ให้ ต้องอาบัติ)
- ฮิต: 5584
ข้อมูลจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
(พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน) และ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๖) (ปกสีแดง)
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘
(พระบัญญัติ ภิกษุ รับ ให้รับ
หรือยินดีทองเงิน อันเขาเก็บไว้ให้ต้องอาบัติ)
“๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี
ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้
เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.”
เล่ม ๓ หน้า ๙๓๗-๙๕๗ (ปกสีน้ำเงิน) / หน้า ๘๘๕-๙๐๓ (ปกสีแดง)
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๑๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน
อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๓๘ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ครั้งนั้นท่านพระอุปนันทศากยบุตร
เป็นกุลุปกะของสกุลหนึ่ง
รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ
ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น
เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร
เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น
เขาจึงแบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร
เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด
ร้องอ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า
บุรุษผู้สามี จึงสั่งภรรยาว่า
จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก
เราจักซื้อของอื่นถวายท่าน
ครั้นแล้วเวลาเช้าท่านอุปนันทศายบุตร
นุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปสู่สกุลนั้น
แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย
ทันใด บุรุษนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร
กราบแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบเรียนว่า
ท่านเจ้าข้า เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น
ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่ง
จากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืดร้องอ้อนวอนว่า
จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า
ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของพระคุณเจ้าแก่เด็ก
พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวายด้วย
ทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า
เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่ง แก่เราแล้วหรือ
บุ. ขอรับ ผมบริจาคแล้ว
อุ. เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา
บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร
ในทันใดนั้นเอง แล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้
รับรูปิยะเหมือนพวกเรา
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๓๙ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่
บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย
มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา
ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะเล่า
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์
ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น
แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า
ดูก่อนอุปนันทะ ข่าวว่าเธอรับรูปิยะจริงหรือ
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนว่า
ดูก่อนโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น
ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ
ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า
การกระทำของเธอนั่น
ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น
เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
ทรงบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร
โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว
ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก
ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก
ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๔๐ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
คลุกคลี ความเกียจคร้าน
ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย
ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ
ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส
การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย
ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น
ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย
แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล
เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้ :-
พระบัญญัติ
๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี
ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้
เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๔๑ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
สิกขาบทวิภังค์
[๑๐๖] บทว่า อนึ่ง...ใด ความว่า
ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด
มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด
มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด
เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม
นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อนึ่ง...ใด.
บทว่า ภิกษุ ความว่า
ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว
ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา
ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระอเสขะ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกัน
อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบควรแก่ฐานะ
บรรดาภิกษุเหล่านั้น
ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม
อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ นี้ชื่อว่า ภิกษุ
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้
ที่ชื่อว่า ทอง ตรัสหมายทองคำ
ที่ชื่อว่า เงิน ได้แก่ กหาปณะ มาสกที่ทำด้วยโลหะ
มาสกที่ทำด้วยไม้ มาสกที่ทำด้วยครั่ง
ซึ่งใช้เป็นมาตราสำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้.
บทว่า รับ คือ รับเอง เป็นนิสสัคคีย์.
บทว่า ให้รับ คือ ให้คนอื่นรับแทน เป็นนิสสัคคีย์.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๔๒ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
บทว่า หรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้ ความว่า
หรือยินดีทองเงินที่เขาเก็บไว้ให้ด้วยบอกว่า
ของนี้จงเป็นของพระคุณเจ้า ดังนี้ เป็นต้น เป็นนิสสัคคีย์
ทอง เงิน ที่เป็นนิสสัคคีย์ ต้องเสียสละในท่ามกลางสงฆ์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุพึงเสียสละรูปิยะนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละรูปิยะ
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งเท้าประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ารับรูปิยะไว้แล้ว
ของนี้ของข้าพเจ้า เป็นของจำจะสละ
ข้าพเจ้าสละรูปิยะนี้แก่สงฆ์
ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ
ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
ถ้าคนผู้ทำการวัด หรืออุบาสก
เดินมาในสถานที่เสียสละนั้น พึงบอกเขาว่า
ท่านจงรู้ของสิ่งนี้
ถ้าเขาถามว่า จะให้ผมนำของสิ่งนี้ไปหาอะไรมา
อย่าบอกว่า จงนำของสิ่งนี้หรือของสิ่งนี้มา
ควรบอกแต่ของที่เป็นกัปปิยะ เช่น
เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย
ถ้าเขานำรูปิยะนั้นไปแลกของที่เป็นกัปปิยะมาถวาย
เว้นภิกษุผู้รับรูปิยะ ภิกษุนอกนั้นฉันได้ทุกรูป
ถ้าได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี
ถ้าไม่ได้พึงบอกเขาว่า
โปรดช่วยทิ้งของนี้
ถ้าเขาทิ้งให้ นั่นเป็นการดี
ถ้าเขาไม่ทิ้งให้
พึงสมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๔๓ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
องค์ ๕ ของภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ
องค์ ๕ นั้น คือ
๑.ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ
๒.ไม่ถึงความลำเอียงเพราะเกลียดชัง
๓.ไม่ถึงความลำเอียงเพราะงมงาย
๔.ไม่ถึงความลำเอียงเพราะกลัว และ
๕.รู้จักว่าทำอย่างไรเป็นอันทิ้งหรือไม่เป็นอันทิ้ง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็แลสงฆ์พึงสมมติภิกษุนั้น อย่างนี้:-
วิธีสมมติภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ
พึงขอภิกษุให้รับตกลงก่อน
ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ
พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
คำสมมติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
สงฆ์พึงสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ นี่เป็นญัตติ
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า
สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ
การสมมติภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ ชอบแก่ท่านผู้ใด
ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง
ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
ภิกษุมีชื่อนี้ สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะแล้ว ชอบแก่สงฆ์
เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้
ภิกษุผู้รับสมมติแล้วนั้น พึงทิ้งอย่าหมายที่ตก
ถ้าทิ้งหมายที่ตก ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๔๔ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
บทภาชนีย์
ติกนิสสัคคิยปาจิตตีย์
[๑๐๗] รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ รับรูปิยะ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
รูปิยะ ภิกษุสงสัย รับรูปิยะ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ รับรูปิยะ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทุกกฏ
ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสงสัย...ต้องอาบัติทุกกฏ
ไม่ต้องอาบัติ
ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่รูปิยะ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
[๑๐๘] ทองเงินตกอยู่ภายในวัดก็ดี ภายในที่อยู่ก็ดี
ภิกษุหยิบยกเองก็ดี ใช้ให้หยิบยกก็ดี
แล้วเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า เป็นของผู้ใด
ผู้นั้นจักนำไปดังนี้ ๑
ภิกษุวิกลจริต ๑
ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑
ไม่ต้องอาบัติแล.
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ
โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๘
พรรณนารูปิยสิกขาบท
รูปิยสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป:-
ในรูปิยสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า ปฏิวึโส แปลว่า ส่วน.
ในบทว่า ชาตรูปรชตํ นี้ คำว่า ชาตรูป เป็นชื่อแห่งทองคำ.
ก็เพราะทองคำนั้นเป็นเช่นกับพระฉวีวรรณแห่งพระตถาคต;
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในบทภาชนะว่า ท่านเรียกพระฉวีวรรณของพระศาสดา.
เนื้อความแห่งบทภาชนะนั้นว่า โลหะพิเศษมีสีเหมือนพระฉวีวรรณของพระศาสดา
นี้ชื่อว่า ชาตรูป (ทองคำธรรมชาติ).
ส่วนเงินท่านเรียกว่า รูปิยะ.
ในคำทั้งหลายว่า สังข์ ศิลา ประพาฬ เงิน ทอง เป็นต้น.
แต่ในสิกขาบทนี้
ท่านประสงค์เอากหาปณะเป็นต้นอย่างใดอย่างอย่างหนึ่ง
ที่ให้ถึงการซื้อขายได้.
เพราะเหตุนั้นนั่นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า รชตํ นั้น
ท่านจึงกล่าวคำว่า กหาปณะ โลหมาสก ดังนี้ เป็นต้น.
[อธิบายวัตถุแห่งนิสสัคคีย์และทุกกฏ]
บรรดาบทว่า กหาปณะ เป็นต้นนั้น
กหาปณะที่เขาทำด้วยทองคำก็ดี ทำด้วยเงินก็ดี กหาปณะธรรมดาก็ดี
ชื่อว่า กหาปณะ.
มาสกที่ทำด้วยแร่ทองแดงเป็นต้น ชื่อว่า โลหมาสก.
มาสกที่ทำด้วยไม้แก่นก็ดี ด้วยข้อไม้ไผ่ก็ดี
โดยที่สุดแม้มาสกที่เขาทำด้วยใบตาลสลักเป็นรูป ก็ชื่อว่า มาสกไม้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๔๖ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
มาสกที่เขาทำด้วยครั่งก็ดี ด้วยยางก็ดี ดุนให้เกิดรูปขึ้น ชื่อว่า มาสกยาง.
ก็ด้วยบทว่า เย โวหารํ คจฺฉนฺติ นี้
ท่านสงเคราะห์เอามาสกทั้งหมดที่ใช้เป็นมาตราซื้อขายในชนบท ในเวลาซื้อขายกัน
โดยที่สุดทำด้วยกระดูกบ้าง ทำด้วยหนังบ้าง ทำด้วยเมล็ดผลไม้บ้าง
ดุนให้เป็นรูปบ้าง มิได้ดุนให้เป็นรูปบ้าง.
วัตถุทั้ง ๔ อย่าง คือ เงิน ทอง ทั้งหมดนี้อย่างนี้
(และ) มาสกทอง มาสกเงิน มีประเภทดังกล่าวแล้วแม้ทั้งหมด
จัดเป็นวัตถุแห่งนิสสัคคีย์,
วัตถุนี้ คือ มุกดา มณี ไพฑูรย์ สังข์ ศิลา ประพาฬ ทับทิม บุษราคัม ธัญชาติ ๗ ชนิด
ทาสหญิง ทาสชาย นาไร่ สวนดอกไม้ สวนผลไม้เป็นต้น
จัดเป็นวัตถุแห่งทุกกฏ.
วัตถุนี้ คือ ด้าย ผาลไถ ผืนผ้า ฝ้ายอปรัณชาติมีอเนกประการ
และเภสัช มีเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยงบเป็นต้น
จัดเป็นกัปปิยวัตถุ.
บรรดานิสสัคคิยวัตถุและทุกกฎวัตถุนั้น
ภิกษุจะรับนิสสัคคิยวัตถุเพื่อประโยชน์ตนเอง
หรือเพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ คณะบุคคลและเจดีย์ เป็นต้น ย่อมไม่ควร,
เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์
แก่ภิกษุผู้รับเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง.
เป็นทุกกฎแก่ภิกษุผู้รับเพื่อประโยชน์แก่สิ่งที่เหลือ
เป็นทุกกฏอย่างเดียว แก่ภิกษุผู้รับทุกกฏวัตถุ เพื่อประโยชน์ทุกอย่าง,
ไม่เป็นอาบัติในกัปปิยวัตถุ.
เป็นปาจิตตีย์ด้วยอำนาจที่มาในรัตนสิกขาบทข้างหน้า
แก่ภิกษุผู้รับวัตถุมีเงินเป็นต้นแม้ทั้งหมด
ด้วยหน้าที่แห่งภัณฑาคาริก เพื่อต้องการจะเก็บไว้.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๔๗ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
[ว่าด้วยการรับ การใช้ให้รับ และวิธีปฏิบัติในรูปิยะ]
บทว่า อุคฺคณฺเหยฺย แปลว่า พึงถือเอา.
ก็เพราะเมื่อภิกษุรับเอาจึงต้องอาบัติ;
ฉะนั้น ในบทภาชนะแห่งบทว่า อุคฺคณฺเหยฺย นั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ภิกษุรับเอง เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. แม้ในบทที่เหลือ ก็มีนัยอย่างนี้ .
ในการรับเองและใช้ให้รับนั้น มีวินิจฉัยดังนี้:-
เป็นอาบัติตัวเดียวแก่ภิกษุผู้รับเอง หรือใช้ให้รับวัตถุสิ่งเดียว
ในบรรดาภัณฑะ คือ ทองเงิน ทั้งกหาปณะ และมาสก.
ถ้าแม้นว่า ภิกษุรับเอง
หรือใช้ให้รับตั้งพันอย่างรวมกัน,
เป็นอาบัติมากตามจำนวนวัตถุ.
แต่ในมหาปัจจรีและกุรุนที กล่าวรวมกันว่า
เป็นอาบัติ โดยนับรูปในถุงที่ผูกไว้หย่อน ๆ หรือในภาชนะที่บรรจุไว้หลวม ๆ.
ส่วนในถุงที่ผูกไว้แน่น หรือในภาชนะที่บรรจุแน่น เป็นอาบัติตัวเดียวเท่านั้น.
ส่วนในการยินดีเงินทองที่เขาเก็บไว้ มีวินิจฉัยดังนี้:-
เมื่อเขากล่าวว่า นี้เป็นของพระผู้เป็นเจ้า
ถ้าแม้นภิกษุยินดีด้วยจิต เป็นผู้ใคร่เพื่อจะรับเอาด้วยกายหรือวาจา,
แต่ปฏิเสธว่า นี้ไม่ควร ไม่เป็นอาบัติ.
แม้ไม่ห้ามด้วยกายและวาจา เป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์
ไม่ยินดีด้วยคิดว่า นี้ไม่ควรแก่เรา ไม่เป็นอาบัติเหมือนกัน.
จริงอยู่ บรรดาไตรทวาร
อันภิกษุห้ามแล้วด้วยทวารใดทวารหนึ่ง ย่อมเป็นอันห้ามแล้วแท้.
แต่ถ้าไม่ห้ามด้วยกายและวาจา รับอยู่ด้วยจิต
ย่อมต้องอาบัติในกายทวารและวจีทวาร
มีการไม่กระทำเป็นสมุฏฐาน เพราะไม่กระทำการห้าม
ที่ตนพึงกระทำด้วยกายและวาจา.
แต่ ชื่อว่า อาบัติ ทางมโนทวาร ไม่มี.
...
[ปัจจัยที่ได้จากรูปิยะที่ภิกษุรับ ไม่ควรแก่เธอผู้รับ]
ข้อว่า รูปิยปฏิคฺคาหกํ ฐเปตฺวา สพฺเพเหว ปริภุญฺชิตพฺพํ มีความว่า
ภิกษุทั้งหมดพึงแจกกันบริโภค.
ภิกษุผู้รับรูปิยะไม่พึงรับส่วนแบ่ง.
แม้ได้ส่วนที่ถึงแก่พวกภิกษุอื่นหรืออารามิกชนแล้ว จะบริโภคก็ไม่ควร.
โดยที่สุด เนยใส หรือน้ำมันนั้น อันดิรัจฉานมีลิงเป็นต้น
ลักเอาไปจากส่วนแบ่งนั้น วางไว้ในป่า หรือที่หล่นจากมือของสัตว์เหล่านั้น
ยังเป็นของอันดิรัจฉานหวงแหนก็ดี เป็นของบังสุกุลก็ดี ไม่สมควรทั้งนั้น.
แม้จะอบเสนาสนะ ด้วยน้ำอ้อยที่นำมาจากส่วนแบ่งนั้น ก็ไม่ควร.
จะตามประทีปด้วยเนยใส หรือน้ำมันแล้วนอนก็ดี
กระทำกสิณบริกรรมก็ดี สอนหนังสือก็ดี ด้วยแสงสว่างแห่งประทีป ไม่ควร.
อนึ่ง จะทาแผลที่ร่างกายด้วยน้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น จากส่วนแบ่งนั้น
ก็ไม่ควรเหมือนกัน.
คนทั้งหลาย เอาวัตถุนั้น จ่ายหาเตียงและตั่งเป็นต้นก็ดี
สร้างอุโบสถาคารก็ดี สร้างโรงฉันก็ดี จะบริโภคใช้สอย ก็ไม่ควร.
แม้ร่มเงา (แห่งโรงฉัน เป็นต้น) อันแผ่ไปอยู่ตามเขตของเรือน ก็ไม่ควร.
ร่มเงาที่เลยเขตไป ควรอยู่ เพราะเป็นของจรมา.
จะเดินไปตามทางก็ดี สะพานก็ดี เรือก็ดี แพก็ดี ที่เขาจำหน่ายวัตถุนั้นสร้างไว้ไม่ควร.
จะดื่มหรือใช้สอยน้ำที่เอ่อขึ้นเต็มปริ่มสระโบกขรณี ซึ่งเขาให้ขุดด้วยวัตถุนั้น ก็ไม่ควร.
แต่ว่า เมื่อน้ำภายใน (สระ) ไม่มี น้ำที่ไหลมาใหม่ หรือ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๕๐ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
น้ำฝนไหลเข้าไป สมควรอยู่.
แม้น้ำที่มาใหม่ซึ่งซื้อมาพร้อมกับสระโบกขรณีที่ซื้อมา (ด้วยวัตถุนั้น ) ก็ไม่ควร.
สงฆ์ตั้งวัตถุนั้นเป็นของฝาก (เก็บดอกผล) บริโภคปัจจัย
แม้ปัจจัยเหล่านั้น ก็ไม่ควรแก่เธอ.
แม้อารามซึ่งเป็นที่อันสงฆ์รับไว้ (ด้วยวัตถุนั้น ) ก็ไม่ควรเพื่อบริโภคใช้สอย.
ถ้าพื้นดินก็ดี พืชก็ดี เป็นอกัปปิยะ, จะใช้สอยพื้นดิน จะบริโภคผลไม้ไม่ควรทั้งนั้น.
ถ้าภิกษุซื้อพื้นดินอย่างเดียว เพาะปลูกพืชอื่น, จะบริโภคผล ควรอยู่.
ถ้าพืช ภิกษุซื้อมาปลูกลงในพื้นดินอันเป็นกัปปิยะ จะบริโภคผล ไม่ควร.
จะนั่งหรือนอนบนพื้นดิน ควรอยู่.
ข้อว่า สเจ โส ฉฑฺเฑติ มีความว่า เขาโยนทิ้งไป ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง.
ถ้าแม้นเขาไม่ทิ้ง หรือถือเอาไปเสียเอง, ไม่พึงห้ามเขา
ข้อว่า โน เจ ฉฑฺเฑติ มีความว่า ถ้าเขาไม่ถือเอาไป และไม่ทิ้งให้
หลีกไปตามความปรารถนา ด้วยใส่ใจว่า ประโยชน์อะไรของเราด้วยการขวนขวายนี้,
ลำดับนั้น สงฆ์พึงสมมติภิกษุผู้มีลักษณะตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ.
[ว่าด้วยองค์แห่งภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ]
ในคำว่า โย น ฉนฺทาคตึ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้:-
ภิกษุผู้กระทำวัตถุนั้นเพื่อตน หรือยกตนขึ้นอ้าง ด้วยอำนาจแห่งความโลภ
ชื่อว่า ย่อมถึงความลำเอียงเพราะชอบกัน.
เมื่อรุกรานผู้อื่นด้วยอำนาจแห่งโทสะว่า ภิกษุนี้ไม่รู้แม่บทเลย ไม่รู้วินัย
ชื่อว่า ย่อมถึงความ ลำเอียงเพราะโทสะ.
เมื่อถึงความเป็นผู้พลั้งเผลอและหลงลืมสติด้วยอำนาจโมหะ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๕๑ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ชื่อว่า ย่อมถึงความลำเอียงเพราะหลง.
เมื่อไม่อาจจะทิ้งเพราะกลัวภิกษุผู้รับรูปิยะ
ชื่อว่า ย่อมถึงความลำเอียงเพราะกลัว.
ภิกษุผู้ไม่กระทำอย่างนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า
ย่อมไม่ถึงความลำเอียงเพราะชอบกัน ฯลฯ ย่อมไม่ถึงความลำเอียงเพราะกลัว.
สองบทว่า อนิมิตฺตํ กตฺวา ได้แก่ ไม่กระทำให้มีที่หมาย.
อธิบายว่า ภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะนั้น หลับตาแล้ว ไม่เหลียวดูดุจคูถคือไม่กำหนดหมายที่ตก
พึงทิ้งให้ตกไปในแม่น้ำ ในเหว หรือในพุ่มไม้.
ในรูปิยะแม้อันภิกษุพึงรังเกียจอย่างนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสบอกการบริโภคใช้สอย แก่ภิกษุทั้งหลายโดยปริยาย.
ก็การบริโภคปัจจัยที่เกิดขึ้นจากรูปิยะนั้น
ย่อมไม่สมควรแก่ภิกษุผู้รับรูปิยะ โดยปริยายไร ๆ เลย.
ก็การบริโภคปัจจัยที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ควรแก่ภิกษุผู้รับรูปิยะนั่น ฉันใด.
ปัจจัยที่เกิดขึ้น เพราะการอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีจริงก็ดี
เพราะกุลทูสกกรรมก็ดี เพราะการหลอกลวงเป็นต้นก็ดี
ย่อมไม่ควรแก่ภิกษุนั้น และแก่ภิกษุอื่น ฉันนั้น
ถึงปัจจัยที่เกิดขึ้นโดยธรรมโดยสม่ำเสมอ ยังไม่ได้พิจารณา จะบริโภคก็ไม่ควร.
[อธิบายการบริโภคปัจจัยมี ๔ อย่าง]
จริงอยู่ การบริโภค มี ๔ อย่าง คือ
ไถยบริโภค (บริโภคอย่างขโมย) ๑
อิณบริโภค (บริโภคอย่างเป็นหนี้) ๑
ทายัชชบริโภค (บริโภคอย่างเป็นผู้รับมรดก) ๑
สามีบริโภค (บริโภคอย่างเป็นเจ้าของ) ๑.
บรรดาการบริโภค ๔ อย่างนั้น
การบริโภคของภิกษุผู้ทุศีล
ซึ่งนั่งบริโภคอยู่แม้ในท่ามกลางสงฆ์
ชื่อว่า ไถยบริโภค.
การบริโภคไม่พิจารณาของ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๕๒ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ภิกษุผู้มีศีล ชื่อว่า อิณบริโภค.
เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้มีศีลพึงพิจารณาจีวรทุกขณะที่บริโภคใช้สอย
บิณฑบาตพึงพิจารณาทุก ๆ คำกลืน.
เมื่อไม่อาจอย่างนั้น พึงพิจารณาในกาลก่อนฉัน หลังฉัน ยามต้น ยามกลาง และยามสุดท้าย.
หากเมื่อเธอไม่ทันพิจารณาอรุณขึ้น, ย่อมตั้งอยู่ในฐานะบริโภคอย่างเป็นหนี้.
แม้เสนาสนะ ก็พึงพิจารณาทุก ๆ ขณะที่ใช้สอย.
ความมีสติเป็นปัจจัยทั้งในขณะรับทั้งในขณะบริโภคเภสัช ย่อมควร.
แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ทำสติในการรับ ไม่ทำในการบริโภคอย่างเดียว.
แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่ทำสติในการรับ ทำแต่ในเวลาบริโภค.
ก็สุทธิมี ๔ อย่าง คือ
เทสนาสุทธิ (หมดจดด้วยการแสดง) ๑
สังวรสุทธิ (หมดจดด้วยสังวร) ๑
ปริยิฎฐิสุทธิ (หมดจดด้วยการแสวงหา) ๑
ปัจจเวกขณสุทธิ (หมดจดด้วยการพิจารณา) ๑.
บรรดาสุทธิ ๔ อย่างนั้น
ปาฏิโมกขสังวรศีล ชื่อว่าเทสนาสุทธิ.
ก็ปาฏิโมกขสังวรศีลนั้น ท่านเรียกว่า เทสนาสุทธิ เพราะบริสุทธิ์ด้วยการแสดง.
อินทรียสังวรศีล ชื่อว่าสังวรสุทธิ.
ก็อินทรียสังวรศีลนั้น ท่านเรียกว่า สังวรสุทธิ
เพราะบริสุทธิ์ด้วยสังวร คือ การตั้งจิตอธิษฐานว่า เราจักไม่ทำอย่างนี้อีกเท่านั้น.
อาชีวปริสุทธิศีล ชื่อว่า ปริยิฎฐิสุทธิ.
ก็อาชีวปาริสุทธิศีลนั้น ท่านเรียกว่า ปริยิฎฐิสุทธิ
เพราะเป็นความบริสุทธิ์ด้วยการแสวงหาของภิกษุผู้ละอเนสนาแล้ว
ยังปัจจัยทั้งหลายให้เกิดขึ้นโดยธรรม โดยสม่ำเสมอ.
ปัจจัยบริโภคสันนิสสิตศีล ชื่อว่า ปัจจเวกขณสุทธิ.
จริงอยู่ ปัจจัยบริโภคสันนิสสิตศีลนั้น ท่านเรียกว่า ปัจจเวกขณสุทธิ เพราะ
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๕๓ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
บริสุทธิ์ด้วยการพิจารณาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า
ภิกษุย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วเสพจีวร ดังนี้.
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า
แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่ทำสติในการรับ ทำแต่ในการบริโภค.
การบริโภคปัจจัยของพระเสขะ ๗ จำพวก ชื่อว่า ทายัชชบริโภค.
จริงอยู่ พระเสขะ ๗ จำพวกนั้น เป็นพระโอรสของพระผู้มีพระภาคเจ้า;
เพราะฉะนั้น จึงเป็นทายาทแห่งปัจจัยอันเป็นของพระพุทธบิดา บริโภคอยู่ซึ่งปัจจัยเหล่านั้น.
ถามว่า ก็พระเสขะเหล่านั้น
บริโภคปัจจัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือบริโภคปัจจัยของพวกคฤหัสถ์ ?
ตอบว่า ปัจจัยเหล่านั้น แม้อันพวกคฤหัสถ์ถวาย ก็จริง.
แต่ชื่อว่าเป็นของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้
เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระเสขะเหล่านั้น บริโภคปัจจัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ก็ธรรมทายาทสูตร เป็นเครื่องสาธกในการบริโภคปัจจัยของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้.
การบริโภค ของพระขีณาสพทั้งหลาย ชื่อว่า สามีบริโภค.
จริงอยู่พระขีณาสพทั้งหลายเหล่านั้น
ชื่อว่าเป็นเจ้าของบริโภคเพราะล่วงความเป็นทาสแห่งตัณหาได้แล้ว.
บรรดาการบริโภคทั้ง ๔ นี้
สามีบริโภคและทายัชชบริโภค ย่อมควรแม้แก่ภิกษุทุกจำพวก.
อิณบริโภค ไม่สมควรเลย.
ในไถยบริโภค ไม่มีคำจะพูดถึงเลย.
[อธิบายว่าการบริโภคอีก ๔ อย่าง]
การบริโภคแม้อื่นอีก ๔ คือ
ลัชชีบริโภค อลัชชีบริโภค ธัมมิยบริโภค อธัมมิยบริโภค.
บรรดาการบริโภค ๔ อย่างนั้น การบริโภค
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๕๔ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ของอลัชชีภิกษุร่วมกับลัชชีภิกษุ สมควร. ไม่พึงปรับอาบัติเธอ.
การบริโภคของลัชชีภิกษุร่วมกับอลัชชีภิกษุ ย่อมควรตลอดเวลาที่เธอยังไม่รู้.
เพราะว่าธรรมดาภิกษุผู้เป็นอลัชชีมาแต่แรกไม่มี.
เพราะฉะนั้น พึงว่ากล่าวเธอในเวลาทราบว่าเธอเป็นอลัชชีว่า
ท่านทำการละเมิดในกายทวารและวจีทวาร,
การทำนั้น ไม่สมควรเลย, ท่านอย่าได้กระทำอย่างนี้.
ถ้าเธอไม่เอื้อเฟื้อยังคงกระทำอยู่อีก, ถ้ายังขืนทำการบริโภคร่วมกับอลัชชีนั้น,
แม้เธอก็กลายเป็นอลัชชีไปด้วย.
ฝ่ายภิกษุใด กระทำการบริโภคร่วมกับอลัชชี ผู้ซึ่งเป็นภาระของตน,
แม้ภิกษุนั้น อันภิกษุอื่นเห็นพึงห้าม,
ถ้าเธอไม่ยอมงดเว้น, ภิกษุแม้รูปนี้ ก็เป็นอลัชชีเหมือนกัน.
อลัชชีภิกษุแม้รูปเดียว
ย่อมทำให้ภิกษุเป็นอลัชชีได้แม้ตั้งร้อยรูปอย่างนี้.
ชื่อว่าอาบัติในการบริโภคร่วมกันระหว่างอลัชชีกับอลัชชี ย่อมไม่มี.
การบริโภคร่วมระหว่างลัชชีกับลัชชี
เป็นเช่นเดียวกับขัตติยกุมารสองพระองค์เสวยร่วมกันในสุวรรณภาชน์.
การบริโภคเป็นธรรม และไม่เป็นธรรม
ผู้ศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจแห่งปัจจัยนั่นแล.
ในการบริโภคเป็นธรรม และไม่เป็นธรรมนั้น พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้:-
ถ้าแม้บุคคลก็เป็นอลัชชี แม้บิณฑบาตไม่เป็นธรรม, น่ารังเกียจทั้ง ๒ ฝ่าย.
บุคคลเป็นอลัชชี แต่บิณฑบาตเป็นธรรม,
ภิกษุทั้งหลาย รังเกียจบุคคลแล้ว ไม่พึงรับบิณฑบาต.
แต่ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวไว้ว่า
คนทุศีล ได้อุเทศภัตเป็นต้นจากสงฆ์แล้ว ถวายแก่สงฆ์นั่นแล.
อุเทศภัตเป็นต้นนี้ ย่อมควร เพราะเป็นไปตามที่เขาถวายนั่นเอง.
บุคคลเป็น
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๕๕ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ลัชชี บิณฑบาตไม่เป็นธรรม, บิณฑบาตน่ารังเกียจ ไม่ควรรับเอา.
บุคคลเป็นลัชชี แม้บิณฑบาตก็เป็นธรรม ย่อมสมควร.
[อธิบายการยกย่องและการบริโภคอีกอย่างละ ๒]
ยังมีการยกย่อง ๒ อย่าง และการบริโภค ๒ อย่างอีก คือ
การยกย่องลัชชี ๑
การยกย่องอลัชชี ๑
ธรรมบริโภค ๑
อามิสบริโภค ๑,
ในการยกย่องและการบริโภคนั้น การยกย่องลัชชี แก่อลัชชี สมควร. เธอไม่ควรถูกปรับอาบัติ.
ก็ถ้าว่า ลัชชียกย่องอลัชชี ย่อมเชื้อเชิญด้วยอนุโมทนา
เชื้อเชิญด้วยธรรมกถา อุปถัมภ์ในสกุลทั้งหลาย,
แม้อลัชชีนอกนี้ ก็กล่าวสรรเสริญเธอในบริษัทว่า
อาจารย์ของพวกเราย่อมเป็นผู้เช่นนี้และเช่นนี้,
ภิกษุนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า
ย่อมทำพระศาสนาให้เสื่อมลง คือ ให้อันตรธานไป.
ก็บรรดาธรรมบริโภคและอามิสบริโภค
ในบุคคลใด อามิสบริโภคสมควร, ในบุคคลนั้น แม้ธรรมบริโภค ก็สมควร.
ท่านกล่าวไว้ (ในอรรถกถาทั้งหลาย) ว่า
ก็คัมภีร์ใด ตั้งอยู่ในสุดท้าย จักฉิบหายไป โดยกาลล่วงไปแห่งบุคคลนั้น,
จะเรียนเอาคัมภีร์นั้นเพื่ออนุเคราะห์ธรรม ควรอยู่.
ในการอนุเคราะห์ธรรมนั้น มีเรื่องต่อไปนี้:-
[เรื่องเรียนคัณฐะจากคนเลวเพื่ออนุเคราะห์ธรรม]
ได้ยินว่า ในยุคมหาภัย ได้มีภิกษุผู้ชำนาญมหานิเทศเพียงรูปเดียวเท่านั้น.
ครั้งนั้น พระอุปัชฌายะของพระติสสเถระ ผู้ทรงนิกาย ๔ ชื่อว่า มหาติปิฎกเถระ
กล่าวกะพระมหารักขิตเถระว่า อาวุโสมหารักขิต !
เธอจงเรียนเอามหานิเทศในสำนักแห่งภิกษุนั่นเถิด.
เธอเรียนว่า ได้ทราบว่า ท่านรูปนี้เลวทราม ขอรับ ! กระผมจักไม่เรียนเอา.
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๕๖ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
อุปัชฌาย์. เรียนไว้เถิดคุณ ! ฉันจักนั่งใกล้ ๆ เธอ.
พระเถระ. ดีละ ขอรับ ! เมื่อท่านนั่งอยู่ด้วย กระผมจักเรียนเอา
แล้วเริ่มเรียนติดต่อกันทั้งกลางคืนกลางวัน วันสุดท้ายเห็นสตรีภายใต้เตียงแล้ว เรียนว่า
ท่านขอรับ ! กระผมได้สดับมาก่อนแล้วทีเดียว,
ถ้าว่ากระผมพึงรู้อย่างนี้ จะไม่พึงเรียนธรรมในสำนักคนเช่นนี้เลย.
ก็พระมหาเถระเป็นอันมาก ได้เรียนเอาในสำนักของพระเถระนั้นแล้ว
ได้ประดิษฐานมหานิเทศไว้สืบมา.
อันทองและเงินแม้ทั้งหมด ผู้ศึกษาพึงทราบว่า
ถึงการสงเคราะห์ว่ารูปิยะทั้งนั้น ในคำว่า รูปิเย รูปิยสญฺี นี้.
สองบทว่า รูปิเย เวมติโก มีความว่า เกิดมีความสงสัย
โดยนัยเป็นต้นว่า เป็นทองคำ หรือทองเหลือง หนอ
สองบทว่า รูปิเย อรูปิยสญฺี ความว่า
มีความสำคัญในทองคำเป็นต้นว่า เป็นทองเหลืองเป็นต้น .
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ใคร่ในบุญทั้งหลาย มีนางสนมของพระราชา เป็นต้น
ถวายเงินและทองใส่ไว้ในภัต ของควรเคี้ยว ของหอมและกำยานเป็นต้น,
ถวายแผ่นผ้าเล็ก ๆ รวมกับกหาปณะที่ขอดไว้ที่ชายผ้าเป็นต้นนั่นแหละ
แก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวบิณฑบาตผ้า,
ภิกษุทั้งหลายรับเอาด้วยสำคัญว่าภัตตาหารเป็นต้น หรือสำคัญว่าผ้า,
ภิกษุนี้ พึงทราบว่า ผู้มีความสำคัญในรูปิยะว่ามิใช่รูปิยะ รับเอารูปิยะด้วยอาการอย่างนี้.
แต่ภิกษุผู้รับ พึงกำหนดให้ดีว่า วัตถุนี้เราได้ในเรือนหลังนี้
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๕๗ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
เพราะว่า ผู้ที่ถวายของด้วยไม่มีสติ ได้สติแล้วจะกลับมา (ทวงถาม).
ลำดับนั้น ภิกษุพึงบอกเขาว่า ท่านจงตรวจดูห่อผ้าของท่าน ดังนี้.
บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทนี้ มีสมุฏฐาน ๖
บางคราวเป็นกิริยา เพราะต้องด้วยการรับบางคราวเป็นอกิริยา เพราะไม่ทำการห้าม
จริงอยู่ รูปิยสิกขาบท อัญญวาทกสิกขาบท และอุปัสสุติสิกขาบท
ทั้ง ๓ มีกำหนดอย่างเดียวกัน เป็นโนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ
กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
รูปิยสิกขาบทที่ ๘ จบ
http://www.tripitaka91.com/3-937-16.html
https://www.youtube.com/watch?v=sFB-F6Lxcgo
[เสียงอ่านพระไตรปิฎก เฉพาะหน้าที่ ๙๓๗-๙๔๐ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)]