ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง
- ฮิต: 6871
ข้อมูลจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
(พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน) และ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๖) (ปกสีแดง)
ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง
"ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง,
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง,
ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง,
ความสิ้นไปแห่งตัณหาย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง."
เล่ม ๔๓ หน้า ๓๒๓-๓๒๘ (ปกสีน้ำเงิน) / หน้า ๒๔๗-๒๕๑ (ปกสีแดง)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔
๑๐. เรื่องท้าวสักกเทวราช [๒๔๙]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน
ทรงปรารภท้าวสักกเทวราช
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " สพฺพทานํ " เป็นต้น.
ปัญหา ๔ ข้อของเทวดา
ความพิสดารว่า ในสมัยหนึ่ง
เทพดาในดาวดึงสเทวโลกประชุมกันแล้ว
ตั้งปัญหาขึ้น ๔ ข้อว่า
" บรรดาทานทั้งหลาย ทานชนิดไหนหนอแล ?
บัณฑิตกล่าวว่าเยี่ยม,
บรรดารสทั้งหลาย รสชนิดไหน ?
บัณฑิตกล่าวว่ายอด,
บรรดาความยินดีทั้งหลาย ความยินดีชนิดไหน ?
บัณฑิตกล่าวว่าเลิศ,
ความสิ้นไปแห่งตัณหาแล
บัณฑิตกล่าวว่าประเสริฐที่สุด เพราะเหตุไร ?
แม้เทพดาองค์หนึ่ง ก็มิสามารถจะวินิจฉัยปัญหาเหล่านั้นได้.
ก็เทพดาองค์หนึ่ง ถามกะเทพดาองค์หนึ่ง,
แม้เทพดาองค์นั้น ก็ถามเทพดาองค์อื่นอีก,
ก็เทพดาทั้งหลาย ถามกันและกันอย่างนั้น
ด้วยอาการอย่างนั้น ได้ท่องเที่ยวไปในหมื่นจักรวาลถึง ๑๒ ปี.
เทวดาพากันไปถามปัญหาท้าวมหาราชทั้ง ๔
เทวดาในหมื่นจักรวาล
ไม่เห็นเนื้อความแห่งปัญหาโดยกาลแม้มีประมาณเท่านี้
ประชุมกันแล้ว ไปยังสำนักของท้าวมหาราชทั้ง ๔,
เมื่อท้าวมหาราชกล่าวว่า
" พ่อทั้งหลาย ทำไมจึงมีเทพสันนิบาตกันใหญ่ ? "
จึงกล่าวว่า
" พวกผมตั้งปัญหาขึ้น ๔ ข้อแล้ว
เมื่อไม่สามารถจะวินิจฉัยได้จึงมายังสำนักของท่าน,
" เมื่อท้าวมหาราชกล่าวว่า "
ชื่อปัญหาอะไรกัน ? พ่อ "
(จึงบอกเนื้อความนั้น) ว่า
" พวกผมไม่สามารถวินิจฉัยปัญหา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ ๓๒๔ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
เหล่านี้ได้ คือ
' บรรดาทาน รส และความยินดี
ทาน รส และความยินดี ชนิดไหนหนอแล ประเสริฐสุด ?
ความสิ้นไปแห่งตัณหาเทียว ประเสริฐสุด เพราะเหตุไร ? " จึงมาหา
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ กล่าวว่า
" พ่อทั้งหลาย แม้พวกเราก็หารู้เนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ไม่;
แต่พระราชาของพวกเรา ทรงดำริอรรถที่ชนตั้งพันคิดแล้ว
ย่อมทรงทราบโดยขณะเดียวเท่านั้น,
พระองค์ประเสริฐวิเศษกว่าพวกเราทั้งหลาย
ทั้งทางปัญญาและทางบุญ,
พวกเราจงไปยังสำนักของพระองค์เถิด "
แล้วพาหมู่เทพดานั้นนั่นแลไปยังสำนักของท้าวสักกเทวราช,
ถึงเมื่อท้าวสักกเทวราชนั้นตรัสว่า
" พ่อทั้งหลาย ทำไมจึงมีเทพสันนิบาตกันใหญ่ ? "
ก็กราบทูลเนื้อความนั้น.
ท้าวสักกะทรงพาพวกเทวดาไปเฝ้าพระศาสดา
ท้าวสักกะตรัสว่า
" พ่อทั้งหลาย คนอื่นย่อมไม่สามารถรู้เนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ได้,
ปัญหาเหล่านั่น เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า,
แล้วตรัสถามว่า
" ก็เดี๋ยวนี้ พระศาสดาประทับอยู่ ณ ที่ไหน ? "
ทรงสดับว่า " ในพระเชตวันวิหาร" จึงตรัสว่า
" พวกเธอมาเถิด, พวกเราจักไปยังสำนักของพระองค์ "
ทรงพร้อมด้วยหมู่เทพดา
ให้พระเชตะวันทั้งสิ้นสว่างไสวในส่วนแห่งราตรี
เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว
ประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง,
เมื่อพระศาสดาตรัสว่า
" มหาบพิตร ทำไมพระองค์จึงเสด็จมาพร้อมกับหมู่เทพดามากมาย ? "
จึงกราบทูลว่า
" พระเจ้าข้า หมู่เทพดาพากันตั้งปัญหาชื่อเหล่านี้,
คนอื่นที่ชื่อว่าสามารถรู้เนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ได้ หามีไม่,
ขอพระองค์ได้ทรงประกาศเนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้
แก่พวกข้าพระองค์เถิด. "
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ ๓๒๕ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
พระศาสดาทรงแก้ปัญหา
พระศาสดาตรัสว่า
" ดีละ มหาบพิตร ตถาคตบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ
บริจาคมหาบริจาค แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณแล้ว
ก็เพื่อตัดความสงสัยของชนผู้เช่นพระองค์นี่แหละ,
ขอพระองค์จงทรงสดับปัญหาที่พระองค์ถามแล้วเถิด:
บรรดาทานทุกชนิด ธรรมทานเป็นเยี่ยม,
บรรดารสทุกชนิด รสแห่งพระธรรมเป็นยอด,
บรรดาความยินดีทุกชนิด ความยินดีในธรรมประเสริฐ,
ส่วนความสิ้นไปแห่งตัณหาประเสริฐที่สุดแท้
เพราะความเป็นเหตุให้สัตว์บรรลุพระอรหัต "
ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๑๐. สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
สพฺพํ รสํ ธมฺมรโส ชินาติ
สพฺพํ รตึ ธมฺมรตี ชินาติ
ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชนาติ.
" ธรรมทาน ย่อมชนะทานทั้งปวง,
รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง,
ความยินดีในธรรม ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง,
ความสิ้นไปแห่งตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง. "
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สพฺพทานํ เป็นต้น ความว่า
ก็ถ้าบุคคลถึงถวายไตรจีวรเช่นกับใบตองอ่อน
แด่พระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วพระขีณาสพทั้งหลาย
ผู้นั่งติด ๆ กัน ในห้องจักรวาลตลอด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ ๓๒๖ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ถึงพรหมโลก.
การอนุโมทนาเทียว ที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงทำด้วย
พระคาถา ๔ บาทในสมาคมนั้นประเสริฐ;
ก็ทานนั้น หามีค่าถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งพระคาถานั้นไม่:
การแสดงก็ดี การกล่าวสอนก็ดี การสดับก็ดี ซึ่งธรรม
เป็นของใหญ่ ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง บุคคลใดให้ทำการฟังธรรม,
อานิสงส์เป็นอันมากก็ย่อมมีแก่บุคคลนั้นแท้.
ธรรมทานนั่นแหละ ที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นให้เป็นไปแล้ว
แม้ด้วยอำนาจอนุโมทนาโดยที่สุดด้วยพระคาถา ๔ บาท
ประเสริฐที่สุดกว่าทานที่ทายกบรรจุบาตร
ให้เต็มด้วยบิณฑบาตอันประณีต
แล้วถวายแก่บริษัทเห็นปานนั้นนั่นแหละบ้าง
กว่าเภสัชทานที่ทายกบรรจุบาตร
ให้เต็มด้วยเนยใสและน้ำมันเป็นต้นแล้วถวายบ้าง
กว่าเสนาสนทานที่ทายกให้สร้างวิหารเช่นกับมหาวิหาร
และปราสาทเช่นกับโลหปราสาทตั้งหลายแสนแล้วถวายบ้าง
กว่าการบริจาคที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้น
ปรารภวิหารทั้งหลายแล้วทำบ้าง.
เพราะเหตุไร ?
เพราะว่าชนทั้งหลาย เมื่อจะทำบุญเห็นปานนั้น
ต่อฟังธรรมแล้วเท่านั้นจึงทำได้.
ไม่ได้ฟัง ก็หาทำได้;
ก็ถ้าว่าสัตว์เหล่านี้ไม่พึงฟังธรรมไซร้,
เขาก็ไม่พึงถวายข้าวยาคูประมาณกระบวยหนึ่งบ้าง
ภัตประมาณทัพพีหนึ่งบ้าง;
เพราะเหตุนี้ ธรรมทานนั่นแหละ
จึงประเสริฐที่สุดกว่าทานทุกชนิด.
อีกอย่างหนึ่ง เว้นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าเสีย
แม้พระสาวกทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น
ผู้ประกอบด้วยปัญญา ซึ่งสามารถนับหยาดน้ำได้
ในเมื่อฝนตกตลอดกัลป์ทั้งสิ้น ก็ยังไม่สามารถ
จะบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น โดยธรรมดาของตนได้;
ต่อฟังธรรมที่พระอัสสชิเถระเป็นต้นแสดงแล้ว
จึงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล, และทำให้แจ้งซึ่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ ๓๒๗ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
สาวกบารมีญาณ
ด้วยพระธรรมเทศนาของพระศาสดา;
เพราะเหตุแม้นี้มหาบพิตร
ธรรมทานนั่นแหละจึงประเสริฐที่สุด.
เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า
"สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ. "
อนึ่ง รสมีรสเกิดแต่ลำต้นเป็นต้นทุกชนิด
โดยส่วนสูงแม้รสแห่งสุธาโภชน์ของเทพดาทั้งหลาย
ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการยังสัตว์ให้ตกไปในสังสารวัฏ
แล้วเสวยทุกข์โดยแท้.
ส่วนพระธรรมรส
กล่าวคือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
และกล่าวคือโลกุตรธรรม ๙ ประการนี้แหละ
ประเสริฐกว่ารสทั้งปวง.
เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า
" สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ."
อนึ่ง แม้ความยินดีในบุตร ความยินดีในธิดา
ความยินดีในทรัพย์ ความยินดีในสตรี
และความยินดีมีประเภทมิใช่อย่างเดียว
อันต่างด้วยความยินดีในการฟ้อนการขับการประโคมเป็นต้น
ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการยังสัตว์ให้ตกไปในสังสารวัฏ แล้วเสวยทุกข์โดยแท้;
ส่วนความอิ่มใจ ซึ่งเกิดขึ้น ณ ภายใน
ของผู้แสดงก็ดี ผู้ฟังก็ดี ผู้กล่าวสอนก็ดี ซึ่งธรรม
ย่อมให้เกิดความเบิกบานใจ ให้น้ำตาไหล ให้เกิดขึ้นชูชัน
ความอิ่มใจนั้นย่อมทำที่สุดแห่งสังสารวัฏ
มีพระอรหัตเป็นปริโยสาน;
ความยินดีในธรรม เห็นปานนี้แหละ
ประเสริฐกว่าความยินดีทั้งปวง.
เพราะเหตุนั้นพระศาสดา จึงตรัสว่า
"สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ."
ส่วนความสิ้นไปแห่งตัณหา
คือพระอรหัตซึ่งเกิดขึ้นในที่สุดแห่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ ๓๒๘ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ความสิ้นไปแห่งตัณหา,
พระอรหัตนั้น ประเสริฐกว่าทุกอย่างแท้
เพราะครอบงำวัฏทุกข์แม้ทั้งสิ้น.
เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า
" ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ."
เมื่อพระศาสดา ตรัสเนื้อความแห่งพระคาถานี้
ด้วยประการฉะนี้อยู่นั่นแล
ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๘ หมื่น ๔ พันแล้ว.
แม้ท้าวสักกะ ทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดา
ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ทูลว่า
พระเจ้าข้า เพื่อประโยชน์อะไร
พระองค์จึงไม่รับสั่งให้ให้ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์
ในธรรมทานอันชื่อว่าเยี่ยมอย่างนี้ ?
จำเดิมแต่นี้ไป
ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกแก่ภิกษุสงฆ์
แล้วรับสั่งให้ ๆ ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า."
พระศาสดา ทรงสดับคำของท้าวเธอแล้ว
รับสั่งให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ตรัสว่า
" ภิกษุทั้งหลายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
พวกเธอทำการฟังธรรมใหญ่ก็ดี
การฟังธรรมตามปกติก็ดี
กล่าวอุปนิสินนกถาก็ดี
โดยที่สุดแม้การอนุโมทนา
แล้วพึงให้ส่วนบุญแก่สัตว์ทั้งปวง. "
เรื่องท้าวสักกเทวราช จบ.