บรรพชิตไม่ควรแสดงธรรม เพื่อประโยชน์แต่ทรัพย์.
- ฮิต: 2468
ข้อมูลจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
(พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน) และ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๖) (ปกสีแดง)
“ศีล พึงทราบได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน”
“ความเป็นผู้สะอาด พึงทราบได้ด้วยการปราศรัย”
“กำลังใจ พึงทราบได้ในเพราะอันตราย”
“ปัญญา พึงทราบได้ด้วยการสนทนา”
“บรรพชิตไม่ควรพยายามในบาปกรรมทั่วไป
ไม่ควรเป็นคนใช้ของผู้อื่น
ไม่ควรอาศัยผู้อื่นเป็นอยู่
ไม่ควรแสดงธรรม เพื่อประโยชน์แต่ทรัพย์.”
“บทว่า ธมฺเมน น วณีจเร ความว่า
ไม่พึงกล่าวธรรมเพื่อต้องการทรัพย์.
เพราะผู้แสดงแก่ชนเหล่าอื่น ด้วยเหตุแห่งทรัพย์เป็นต้น
ย่อมชื่อว่านำธรรมไปทำการค้า.
อย่าเที่ยวเอาธรรมไปทำการค้าอย่างนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ทำกรรมมีการสอดแนมเป็นต้น
เหมือนคนของพระเจ้าโกศล
ทำการสอดแนมเพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์เป็นต้น
ดำรงตามกิจมีการสมาทานเพศบรรพชาเป็นต้น
โดยไม่ให้คนอื่นสงสัย ชื่อว่านำธรรมมาทำการค้า.
ฝ่ายบุคคลใด
แม้ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ในศาสนานี้
ก็ประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อปรารถนาเทพนิกายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
แม้บุคคลนั้นก็ชื่อว่า นำธรรมมาทำการค้า
อธิบายว่า ไม่พึงประพฤติ
คือไม่พึงกระทำการค้าด้วยธรรมอย่างนี้.”
เล่ม ๔๔ หน้า ๕๙๖-๖๐๖ (ปกสีน้ำเงิน) / หน้า ๕๕๑-๕๖๐ (ปกสีแดง)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓
๒. ปฏิสัลลานสูตร
ว่าด้วยพวก ๗ คน
[๑๓๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ บุพพาราม
ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดา ใกล้พระนครสาวัตถี
ก็สมัยนั้นแล ในเวลาเย็น
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้น
ประทับนั่งอยู่ภายนอกซุ้มประตู
ลำดับนั้นแล
พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ก็สมัยนั้น ชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน
เอกสาฎก ๗ คน และปริพาชก ๗ คน
มีขนรักแร้และเล็บงอกยาว หาบบริขารหลายอย่าง
เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทอดพระเนตรเห็น
ชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน
เอกสาฎก ๗ คนและปริพาชก ๗ คนเหล่านั้น
ผู้มีขนรักแร้และเล็บงอกยาว หาบบริขารหลายอย่าง
เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นแล้วทรงลุก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย
อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๕๙๗ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
จากอาสนะ.
ทรงกระทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่งแล้ว
ทรงคุกพระชานุมณฑลเบื้องขวาลงที่แผ่นดิน
ทรงประนมอัญชลีไปทางที่ชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน
อเจลก ๗ คน เอกสาฎก ๗ คน และปริพาชก ๗ คน
แล้วทรงประกาศพระนาม ๓ ครั้งว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ข้าพเจ้าคือพระเจ้าปเสนทิโกศล
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ข้าพเจ้าคือพระเจ้าปเสนทิโกศล
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
ข้าพเจ้าคือพระเจ้าปเสนทิโกศล
ลำดับนั้นแล เมื่อชฎิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน
อเจลก ๗ คน เอกสาฎก ๗ คน
และปริพาชก ๗ คนเหล่านั้นหลีกไปแล้วไม่นาน
พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ท่านเหล่านั้น
เป็นคนหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์
หรือในจำนวนท่านผู้บรรลุอรหัตมรรคในโลก.
[๑๓๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนมหาบพิตร
มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม
ทรงครองฆราวาสคับคั่งด้วยพระโอรสและพระมเหสี
ทรงใช้สอยผ้าแคว้นกาสีและจันทน์
ทรงทัดทรงดอกไม้ ของหอมและเครื่องประเทืองผิว
ทรงยินดีเงินและทอง
ยากที่จะทรงทราบได้ว่าท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันต์
หรือว่าท่านเหล่านี้บรรลุอรหัตมรรค.
๑. ดูก่อนมหาบพิตร
ศีล พึงทราบได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน
และศีลนั้นแล
พึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย
เมื่อมนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ
ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๕๙๘ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
๒. ความเป็นผู้สะอาด พึงทราบได้ด้วยการปราศรัย
และความเป็นผู้สะอาดนั้นแล
พึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย
มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ
ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ.
๓. กำลังใจ พึงทราบได้ในเพราะอันตราย
และกำลังใจนั้นแล
พึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย
มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ
ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ.
๔. ปัญญา พึงทราบได้ด้วยการสนทนา
ก็ปัญญานั้นแล
พึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย
มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ
ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ.
[๑๓๔] ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมา
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า
ดูก่อนมหาบพิตร
มหาบพิตรเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม
ทรงครองฆราวาสคับคั่งด้วยพระโอรสและมเหสี
ทรงใช้สอยผ้าแคว้นกาสีและจันทน์
ทรงทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องประเทืองผิว
ทรงยินดีเงินและทอง
ยากที่จะรู้ได้ว่า ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์
หรือว่าท่านเหล่านี้บรรลุอรหัตมรรค
ดูก่อนมหาบพิตร
ศีล พึงทราบได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน
และศีลนั้นแล
พึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย
มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ
ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ
ความเป็นผู้สะอาด พึงทราบได้ด้วยการปราศรัย
และความเป็นผู้สะอาดนั้นแล
พึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๕๙๙ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ
ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ
กำลังใจ พึงทราบได้ในเพราะอันตราย
และกำลังใจนั้นแล
พึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย
มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ
ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ
ปัญญาพึงทราบได้ด้วยการสนทนา
และปัญญานั้นแล
พึงทราบได้โดยกาลนาน ไม่ใช่โดยกาลนิดหน่อย
มนสิการพึงทราบได้ ไม่มนสิการไม่พึงทราบ
ผู้มีปัญญาพึงทราบได้ ผู้มีปัญญาทรามไม่พึงทราบ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกราชบุรุษของหม่อมฉันเหล่านี้ปลอมตัวเป็นนักบวช
เที่ยวสอดแนม ตรวจตราชนบทแล้วกลับมา
พวกเขาตรวจตราก่อน หม่อมฉันจักตรวจตราภายหลัง
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังนี้
พวกเขาลอยธุลีและมลทินแล้ว อาบดีแล้ว
ไล้ทาดีแล้ว ตัดผมโกนหนวดแล้ว
นุ่งผ้าขาว อิ่มเอิบพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรอตนอยู่.
ลำดับนั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
บรรพชิตไม่ควรพยายามในบาปกรรมทั่วไป
ไม่ควรเป็นคนใช้ของผู้อื่น
ไม่ควรอาศัยผู้อื่นเป็นอยู่
ไม่ควรแสดงธรรม เพื่อประโยชน์แต่ทรัพย์.
จบปฏิสัลลานสูตรที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๖๐๐ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
อรรถกถาปฏิสัลลานสูตร
ปฏิสัลลานสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า พหิทฺวารโกฏฺฐเก ได้แก่
ภายนอกซุ้มประตูปราสาท
ไม่ใช่ภายนอกซุ้มประตูวิหาร.
ได้ยินว่า ปราสาทนั้นเป็นเหมือนโลหปราสาทโดยรอบ
แวดล้อมด้วยกำแพงอันเหมาะแก่ซุ้มประตูทั้ง ๔ ด้าน
ในร่มเงาปราสาทภายนอกซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก
ในบรรดาซุ้มประตูเหล่านั้น
พระองค์ประทับนั่งเหนือบวรพุทธอาสน์ที่บรรจงจัดไว้
ทรงตรวจดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออก.
บทว่า ชฏิลา ได้แก่ ผู้ทรงเพศดาบสผู้มีชฎา.
บทว่า นิคฺคณฺฐา ได้แก่ ผู้ทรงรูปนิครนถ์ผู้นุ่งผ้าขาว.
บทว่า เอกสาฏกา ได้แก่
ผู้เอาท่อนผ้าเก่าท่อนหนึ่งผูกมือ
ปกปิดด้านหน้าของร่างกาย
ด้วยชายผ้าเก่าแม้อื่นนั้นเที่ยวไป
เหมือนพวกนิครนถ์ผู้มีผ้าผืนเดียว.
บทว่า ปรูฬฺหกจฺฉนขโลมา ได้แก่
ผู้มีขนรักแร้งอกแล้ว เล็บงอกแล้ว
และขนนอกนั้นก็งอกแล้ว
อธิบายว่า ขนที่รักแร้เป็นต้นยาว และเล็บยาว.
บทว่า ขารึ วิวิธมาทาย ความว่า
ใช้สาแหรกต่างๆ หาบเครื่องบริขาร
ของบรรพชิตมีประการต่างๆ.
บทว่า อวิทูเร อติกฺกมนฺติ ความว่า
เข้าไปยังพระนครโดยทางไม่ไกลพระวิหาร.
บทว่า ราชาหํ ภนฺเต ปเสนทิโกสโล ความว่า
พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงประกาศว่า
ท่านผู้เจริญ
ข้าพเจ้าเป็นพระราชานามว่า ปเสนทิโกศล
ท่านทั้งหลายจงทราบนามของข้าพเจ้า.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร
พระราชาผู้ประทับอยู่ในสำนักของอัครบุคคลผู้เลิศในโลก
จึงประคองอัญชลีแก่นักเปลือยผู้ไม่มีสิริเห็นปานนี้เล่า.
ตอบว่า เพื่อต้องการจะทรงสงเคราะห์.
จริงอยู่ พระเจ้าปเสนทิโกศลได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า
ถ้าเราจะไม่ทำเหตุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๖๐๑ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
แม้เพียงเท่านี้ แก่พวกเหล่านี้
พวกเหล่านี้ก็จะคิดว่า
พวกเราละบุตรและภรรยา
ได้รับการกินและการนอนลำบากเป็นต้น
เพื่อประโยชน์แก่พระราชานี้
พระราชานี้ไม่ทรงกระทำแม้เพียงความยำเกรงพวกเรา
เพราะเมื่อทรงทำความยำเกรงเป็นต้นนั้น
ผู้คนจะไม่เชื่อพวกเราว่าเป็นพวกสอดแนม
จักเข้าใจเราว่าเป็นบรรพชิตจริง
จะประโยชน์อะไรด้วยการบอกความจริงแก่พระราชานี้
จึงปกปิดสิ่งที่ตนเห็นและได้ยินมาไม่บอก
แต่เมื่อทรงทำอย่างนั้น ชนเหล่านั้นจักบอกโดยไม่ปกปิด.
อีกอย่างหนึ่ง แม้เพื่อจะทรงทราบอัธยาศัยของพระศาสดา
พระราชาจึงทรงกระทำอย่างนั้นและ
ได้ยินว่า พระราชาแม้เมื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็ไม่ทรงเชื่อพระสัมมาสัมโพธิญาณ สิ้นกาลเล็กน้อย.
ด้วยเหตุนั้น พระราชาจึงมีพระดำริอย่างนี้ว่า
ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเหตุทั้งปวงไซร้
เมื่อเรากระทำความยำเกรงต่อพวกเหล่านี้แล้วพูดว่า
ชนพวกนี้เป็นพระอรหันต์ก็จะไม่พึงยินยอม
ถ้าว่าพระองค์ทรงยินยอมคล้อยตามเรา
พระองค์จะเป็นพระสัพพัญญูได้ที่ไหน.
ท้าวเธอได้ทรงกระทำอย่างนั้น
เพื่อจะทรงทราบอัธยาศัยของพระศาสดา
ด้วยประการฉะนี้.
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า
เมื่อเราตถาคตกล่าวไปตรง ๆ ว่า
พวกนี้ไม่ใช่สมณะ เป็นคนสอดแนม
แม้ถ้าพระราชาพึงเชื่อไซร้
ฝ่ายมหาชนเมื่อไม่ทราบความนั้นก็จะไม่พึงเชื่อ
พึงกล่าวว่า
พระสมณโคดมตรัสคำอะไร ๆ จนคล่องพระโอฐว่า
พระราชาฟังคำของพระองค์
ข้อนั้นจะพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์
เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานแก่มหาชนนั้น
ทั้งงานลับของพระราชาจะพึงเปิดเผยขึ้น
พระราชาจักตรัสว่า
พวกเหล่านั้นเป็นคนสอดแนมด้วยพระองค์เอง
จึงตรัสคำมีอาทิว่า ข้อนั้นรู้ได้ยากแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๖๐๒ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า ปุตฺตสมฺพาธสยนํ ได้แก่
ทรงนอน เบียดเสียดกับพระโอรสและพระมเหสี.
ก็ในการนี้ ท่านแสดงถึงการกำหนดเอาพระมเหสี
โดยยกพระโอรสขึ้นเป็นประธาน.
ท่านแสดงถึงความที่จิตของชนเหล่านั้นเศร้าหมอง
โดยถูกความโศกมีราคะเป็นต้นครอบงำ
โดยความที่พระราชามีจิตติดข้องอยู่ในบุตรและภรรยา.
ก็ด้วย บทว่า กามโภคินา นี้
ท่านแสดงถึงถูกราคะครอบงำ.
แม้ด้วยบททั้ง ๒ แสดงถึงความที่ชนเหล่านั้นมีจิตฟุ้งซ่าน.
บทว่า กาสิกจนฺทนํ ได้แก่ จันทน์ละเอียด.
อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ผ้าที่ทำในแคว้นกาสีและไม้จันทน์.
บทว่า นาลาคนฺธวิเลปนํ ได้แก่
ทรงไว้ซึ่งระเบียบดอกไม้ เพื่อต้องการสีและกลิ่น
ซึ่งของหอม เพื่อต้องการความหอม
ซึ่งการลูบไล้ เพื่อต้องการย้อมผิว.
บทว่า ชาตรูปรชตํ ได้แก่ ทอง และทรัพย์ที่เหลือ.
บทว่า สาทิยนฺเตน ได้แก่ รับไว้.
แม้ด้วยทุกบทก็ประกาศถึง
ความที่ชนเหล่านั้นติดอยู่ในกามทั้งนั้น.
บทว่า สํวาเสน แปลว่า ด้วยการอยู่ร่วม.
บทว่า สีลํ เวทิตพฺพํ ความว่า
อันผู้อยู่ร่วม คืออยู่ร่วมในที่เดียวกัน
ก็พึงทราบว่า ผู้นี้เป็นผู้มีศีล หรือเป็นผู้ทุศีล.
บทว่า ตญฺจ โข ทีเฆน อทฺธุนา น อิตฺตเรน ความว่า
ก็ศีลนั่นพึงทราบโดยกาลนาน
ไม่พึงทราบโดยกาลที่จะพึงมีพึงเกิด.
จริงอยู่ ในวันเล็กน้อย
ใคร ๆ อาจแสดงเป็นผู้มีอาการสำรวม
และอาการสำรวมอินทรีย์.
บทว่า มนสิกโรตา โน อมนสิกโรตา ความว่า
ศีลแม้นั้นบุคคลผู้ใส่ใจ
คือพิจารณาว่า เราจักกำหนดศีลของเขา
อาจรู้ได้ บุคคลนอกนี้หารู้ได้ไม่.
บทว่า ปญฺวตา ความว่า
ศีลแม้นั้นเฉพาะผู้มีปัญญา คือบัณฑิตอาจรู้ได้.
เพราะคนเขลาใส่ใจอยู่ก็ไม่อาจรู้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๖๐๓ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
บทว่า สํโวหาเรน แปลว่า ด้วยการกล่าว.
จริงอยู่ วาณิชกรรม ชื่อว่า โวหาร
ในประโยคนี้ว่า
ก็บรรดามนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่งค้าขายเลี้ยงชีพ
ดูก่อนวาเสฏฐะ ท่านจงรู้เถอะว่า
ผู้นั้นเป็นพ่อค้า ไม่ใช่พราหมณ์.
เจตนา ชื่อว่าโวหาร ในประโยคนี้ว่า
อริยโวหาร ๔ อนริยโวหาร ๔.
บัญญัติชื่อว่าโวหาร ในประโยคนี้ว่า
การนับ สมัญญา บัญญัติ ชื่อว่า โวหาร.
ถ้อยคำ ชื่อว่าโวหาร
ในประโยคนี้ว่า เขาพึงกล่าวด้วยเหตุสักว่ากล่าว.
แม้ในที่นี้ ท่านประสงค์โวหาร คือถ้อยคำนั้นนั่นเอง.
จริงอยู่ การกล่าวต่อหน้าของคนบางคน
ย่อมไม่สมกับถ้อยคำที่กล่าวลับหลัง
และถ้อยคำที่กล่าวลับหลัง
ไม่สมกับคำที่กล่าวต่อหน้า
ถ้อยคำที่กล่าวก่อนก็เหมือนกัน
ไม่สมกับคำที่กล่าวทีหลัง
และถ้อยคำที่กล่าวทีหลัง
ก็ไม่สมกับคำที่กล่าวก่อน
ผู้นั้นเมื่อกล่าวอยู่นั่นแล
ใครๆ อาจรู้ได้ว่า บุคคลนั้นไม่สะอาดแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกาศว่า
สำหรับผู้ที่มีความสะอาดเป็นปกติ
บทที่กล่าวไว้ก่อน ย่อมสมกับบทที่กล่าวไว้หลัง
และบทที่กล่าวไว้หลัง ย่อมสมกับบทที่กล่าวไว้ก่อน
บทที่กล่าวไว้ต่อหน้า ย่อมสมกับบทที่กล่าวไว้ลับหลัง
และบทที่กล่าวไว้ลับหลัง ย่อมสมกับบทที่กล่าวไว้ต่อหน้า
เพราะฉะนั้น ผู้ที่กล่าวจึงสามารถรู้ได้ว่า ผู้นี้เป็นคนสะอาด
จึงตรัสคำมีอาทิว่า
บัณฑิตพึงทราบความสะอาดด้วยการกล่าวดังนี้.
บทว่า ถาโม ได้แก่ กำลังแห่งญาณ.
ก็ผู้ที่ไม่มีกำลังแห่งญาณ
ย่อมไม่มองเห็น สิ่งที่ควรถือเอา
คือกิจที่ควรทำ ในเมื่ออันตรายเกิดขึ้น
จึงเที่ยวไปเหมือนเข้าเรือนที่ไม่มีประตู.
ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๖๐๔ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ดูก่อนมหาบพิตร
พึงทราบกำลัง ในเมื่ออันตรายเกิดขึ้นแล ดังนี้ เป็นต้น.
บทว่า สากจฺฉาย แปลว่า ด้วยการสนทนากัน.
จริงอยู่ ถ้อยคำของผู้มีปัญญาทราม
ย่อมเลือนลอยไปเหมือนลูกข่างในน้ำ.
สำหรับผู้มีปัญญาเมื่อพูด ย่อมมีไหวพริบ ไม่มีที่สุด.
จริงอยู่ ปลาเขารู้ได้ว่า ตัวใหญ่ หรือตัวเล็ก
ก็ด้วยน้ำที่กระเพื่อมนั่นเอง.
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
มิได้ตรัสถึงคนเหล่านั้นแก่พระราชาโดยตรงทีเดียวว่า
พวกเหล่านี้แล้ว จึงประกาศอุบาย
เป็นเหตุรู้ถึงพระอรหันต์ หรือผู้มิใช่พระอรหันต์.
พระราชา ทรงทราบดังนั้นแล้ว
มีความเลื่อมใสยิ่ง ในพระสัพพัญญุตญาณ
และเทศนาวิลาส ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงทรงประกาศความเลื่อมใสของพระองค์
โดยนัยมีอาทิว่า
น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า
บัดนี้ เมื่อจะตรัสบอกคนเหล่านั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตามความเป็นจริง
จึงตรัสคำมีอาทิว่า
บุรุษของข้าพระองค์ เหล่านี้เป็นโจร พระเจ้าข้า ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า โจรา ความว่า
บุคคลผู้ไม่ได้เป็นบรรพชิตเลย
บริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น
โดยรูปของบรรพชิต
เพราะเป็นผู้ปกปิดกรรมชั่วไว้.
บทว่า โอจรกา แปลว่า เป็นคนสอดแนม.
จริงอยู่ พวกโจร เมื่อเที่ยวไปตามยอดภูเขา
ก็ชื่อว่าเป็นคนสอดแนมเหมือนกัน
เพราะมีกรรมอันเลวทราม.
อีกอย่างหนึ่ง บทว่า โอจรกา ได้แก่ จารบุรุษ.
บทว่า โอจริตฺวา ได้แก่ ผู้เที่ยวพิจารณาสอดส่อง
อธิบายว่า รู้เรื่องนั้น ๆ ในที่นั้น ๆ.
บทว่า โอยายิสฺสามิ แปลว่า จักดำเนินไป
อธิบายว่า จักกระทำ.
บทว่า รโชชลฺลํ ได้แก่ ธุลี และ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๖๐๕ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
มลทิน.
บทว่า ปวาเหตฺวา ได้แก่
กำจัด คือชำระให้สะอาด.
บทว่า กปฺปิตเกสมสฺสุ ได้แก่
ใช้ช่างกัลบกตัดผมโกนหนวด
ตามวิธีที่กล่าวแล้วในอลังการศาสตร์.
บทว่า กามคุเณหิ ได้แก่
ส่วนแห่งกาม หรือเครื่องผูกคือกาม.
บทว่า สมปฺปิตา ได้แก่ ติดข้องด้วยดี.
บทว่า สมงฺคิภูตา แปลว่า พรั่งพร้อม.
บทว่า ปริจริสฺสนฺติ ได้แก่
ให้อินทรีย์เที่ยวไปโดยรอบ หรือจักเล่น.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า
ทรงทราบความนี้ กล่าวคือ
การที่ราชบุรุษเหล่านั้น
เป็นผู้ลวงโลกโดยเพศบรรพชิต
เพราะเหตุแห่งท้องของตน.
บทว่า อิมํ อุทานํ ได้แก่ ทรงเปล่งอุทานนี้
อันประกาศถึงข้อห้ามความผิด
และความเป็นผู้ลวงโลก.
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า น วายเมยฺย สพฺพตฺถ ความว่า
บรรพชิต ไม่พึงพยายาม
คือไม่พึงทำความพยายามขวนขวาย
ในการทำความชั่วทั้งหมด
มีความเป็นทูต และกระทำการสอดแนมเป็นต้น
เหมือนราชบุรุษเหล่านี้ อธิบายว่า
ไม่พึงทำความพยายาม
ในกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด
พึงพยายามเฉพาะในบุญ
แม้มีประมาณน้อยเท่านั้น.
บทว่า นาญฺสฺส ปุริโส สิยา ได้แก่
ไม่พึงเป็นคนรับใช้คนอื่น โดยรูปบรรพชิต.
เพราะเหตุไร ?
เพราะจะต้องทำกรรมชั่วมีสอดแนมเป็นต้น
แม้เห็นปานนี้.
บทว่า นาญฺํ นิสฺสาย ชีเวยฺย ได้แก่
เป็นผู้ไม่อาศัยบุคคลอื่น มีอิสรชนเป็นต้น
มีความคิดอย่างนี้ว่า
สุขทุกข์ของเรา เนื่องด้วยผู้นั้น ดังนี้แล้วเลี้ยงชีพ
คือเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง เป็นที่อาศัย
อย่ามีคนอื่นเป็นที่พึ่ง ที่อาศัยเลย.
อีกอย่างหนึ่ง ไม่พึงอาศัยอกุศลกรรมอื่นเลี้ยงชีพ
เพราะได้นามว่า ผู้อื่น เหตุนำมาซึ่งความพินาศ.
บทว่า ธมฺเมน น วณีจเร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๖๐๖ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ความว่า ไม่พึงกล่าวธรรมเพื่อต้องการทรัพย์.
เพราะผู้แสดงแก่ชนเหล่าอื่น ด้วยเหตุแห่งทรัพย์เป็นต้น
ย่อมชื่อว่านำธรรมไปทำการค้า.
อย่าเที่ยวเอาธรรมไปทำการค้าอย่างนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ทำกรรมมีการสอดแนมเป็นต้น
เหมือนคนของพระเจ้าโกศล
ทำการสอดแนมเพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์เป็นต้น
ดำรงตามกิจมีการสมาทานเพศบรรพชาเป็นต้น
โดยไม่ให้คนอื่นสงสัย ชื่อว่านำธรรมมาทำการค้า.
ฝ่ายบุคคลใด
แม้ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ในศาสนานี้
ก็ประพฤติพรหมจรรย์
เพื่อปรารถนาเทพนิกายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
แม้บุคคลนั้นก็ชื่อว่า นำธรรมมาทำการค้า
อธิบายว่า ไม่พึงประพฤติ
คือไม่พึงกระทำการค้าด้วยธรรมอย่างนี้.
จบอรรถกถาปฏิสัลลานสูตรที่ ๒
http://www.tripitaka91.com/44-596-7.html