พาลเหล่านั้นย่อมยังตนเองและเหล่าคนที่ทำตามคำของตนให้พินาศ ด้วยทิฏฐิคตะความเห็นที่ตนถือไว้ไม่ดี ดังเรือนที่ถูกไฟไหม้
- ฮิต: 3177
ข้อมูลจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
(พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน) และ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๖) (ปกสีแดง)
“พาลเหล่านั้น ย่อมยังตนเอง
และเหล่าคนที่ทำตามคำของตนให้พินาศ
ด้วยทิฏฐิคตะความเห็นที่ตนถือไว้ไม่ดี
ดังเรือนที่ถูกไฟไหม้
เหมือนพี่ชายของทีฆวิทะ
ล้มลงนอนหงาย ด้วยอัตภาพประมาณ ๖๐ โยชน์
หมกไหม้อยู่ในมหานรก อยู่ถึง พุทธันดร
และเหมือนตระกูล ๕๐๐ ตระกูล
ที่ชอบใจทิฏฐิความเห็นของพี่ชายของทีฆวิทะนั้น
เข้าอยู่ร่วมเป็นสหายของพี่ชายของทีฆวิทะนั่นแหละ
หมกไหม้อยู่ในมหานรกฉะนั้น.”
เล่ม ๓๙ หน้า ๑๗๒-๑๗๕ (ปกสีน้ำเงิน) / หน้า ๑๖๘-๑๗๐ (ปกสีแดง)
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑
บางส่วนของ อรรถกถามงคลสูตร
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสบอกถึงบุคคลที่ไม่ควรคบก่อน
จึงตรัสว่า การไม่คบพาล การคบบัณฑิต
ความจริงคนพาลทั้งหลายไม่ควรคบ
ไม่ควรเข้าใกล้เหมือนทางที่ควรละเว้น
แต่นั้น ก็ควรคบ ควรเข้าใกล้แต่บัณฑิต
เหมือนทางที่ควรยึดถือไว้.
ผู้ทักท้วงกล่าวว่า ก็เพราะเหตุไร
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสมงคล
จึงตรัสการไม่คบพาลและการคบบัณฑิตก่อน
ขอชี้แจงดังนี้
เพราะเหตุที่พวกเทวดาและมนุษย์
ยึดความเห็นว่ามงคลในสิ่งที่เห็นแล้วเป็นต้นนี้
ด้วยการคบพาล ทั้งการคบพาลนั้น ก็ไม่เป็นมงคล ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงติเตียนการสมคบ
กับคนที่มิใช่กัลยาณมิตร
ซึ่งหักรานประโยชน์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
และทรงสรรเสริญการสมาคมกับกัลยาณมิตร
ซึ่งให้สำเร็จประโยชน์ในโลกทั้งสอง
จึงตรัสการไม่คบพาลและการคบบัณฑิตก่อน
แก่เทวดาและมนุษย์เหล่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๗๓ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
สัตว์ทั้งหลายทุกประเภท
ผู้ประกอบด้วยอกุศลกรรมบถมีปาณาติบาต เป็นต้น
ชื่อว่า พาล ในจำนวนพาลและบัณฑิตนั้น.
พาลเหล่านั้น จะรู้ได้ก็ด้วยอาการทั้งสาม
เหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้.
พระสูตรว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พาลลักษณะของพาล ๓ เหล่านี้.
อนึ่ง ครูทั้ง ๖ มีปูรณกัสสปเป็นต้น
และสัตว์อื่น ๆ เห็นปานนั้นเหล่านั้น คือ
เทวทัต โกกาลิกะ กฏโมทกะ ติสสขัณฑาเทวีบุตร
สมุทททัตตะ นางจิญจมาณวิกา เป็นต้น
และพี่ชายของทีฆวิทะ ครั้งอดีตพึงทราบว่า พาล.
พาลเหล่านั้น ย่อมยังตนเอง
และเหล่าคนที่ทำตามคำของตนให้พินาศ
ด้วยทิฏฐิคตะความเห็นที่ตนถือไว้ไม่ดี
ดังเรือนที่ถูกไฟไหม้
เหมือนพี่ชายของทีฆวิทะ
ล้มลงนอนหงาย ด้วยอัตภาพประมาณ ๖๐ โยชน์
หมกไหม้อยู่ในมหานรก อยู่ถึง พุทธันดร
และเหมือนตระกูล ๕๐๐ ตระกูล
ที่ชอบใจทิฏฐิความเห็นของพี่ชายของทีฆวิทะนั้น
เข้าอยู่ร่วมเป็นสหายของพี่ชายของทีฆวิทะนั่นแหละ
หมกไหม้อยู่ในมหานรกฉะนั้น.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไฟลามจากเรือนไม้อ้อหรือเรือนหน้า
ย่อมไหม้แม้เรือนยอด ซึ่งฉาบไว้ทั้งข้างนอกข้างใน
กันลมได้ ลงกลอนสนิท ปิดหน้าต่างไว้ เปรียบฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัยทุกชนิด
ย่อมเกิดเปรียบฉันนั้นเหมือนกัน
ภัยเหล่านั้น ทั้งหมดเกิดจากพาล ไม่เกิดจากบัณฑิต.
อุปัทวะทุกอย่างย่อมเกิด ฯลฯ
อุปสรรคทุกอย่างย่อมเกิด ฯลฯ ไม่เกิดจากบัณฑิต.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดังนั้นแลพาลเป็นภัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๗๔ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
บัณฑิตไม่เป็นภัย
พาลอุบาทว์ บัณฑิตไม่อุบาทว์
พาลเป็นอุปสรรค บัณฑิตไม่เป็นอุปสรรค ดังนี้.
อนึ่ง พาลเสมือนปลาเน่า
ผู้คบพาลนั้น ก็เสมือนห่อด้วยใบไม้ที่ห่อปลาเน่า
ย่อมประสบภาวะที่วิญญูชนทอดทิ้ง และรังเกียจ.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ปูติมจฺฉํ กุสคฺเคน โย นโร อุปนยฺติ
กุสาปิ ปูตี วายนฺติ เอวํ พาลูปเสวนา.
นรชนผู้ใดผูกปลาเน่าด้วยปลายหญ้าคา
แม้หญ้าคาของของนรชนผู้นั้น ก็มีกลิ่นเน่าฟุ้งไปด้วย
การคบพาลก็เป็นอย่างนั้น.
อนึ่งเล่า เมื่อท้าวสักกะจอมทวยเทพประทานพร
แก่กิตติบัณฑิต ก็กล่าวอย่างนี้ว่า
พาลํ น ปสฺเส น สุเณ น จ พาเลน สํวเส
พาเลนลฺลาปสลฺลาปํ น กเร น จ โรจเย.
ไม่ควรพบพาล ไม่ควรฟัง ไม่ควรอยู่ร่วมกับพาล
ไม่พึงทำการเจรจาปราศรัยกับพาล และไม่ควรชอบใจ.
ท้าวสักกะ ตรัสถามว่า
กินฺนุ เต อกรํ พาโล วท กสฺสป การณํ
เกน กสฺสป พาลสฺส ทสฺสนํ นาภิกงฺขสิ.
ท่านกัสสปะ ทำไมหนอ พาลจึงไม่เชื่อท่าน
โปรดบอกเหตุมาสิ เพราะเหตุไร
ท่านจึงไม่อยากเห็นพาลนะท่านกัสสปะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๗๕ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
อกัตติบัณฑิตตอบ
อนยํ นยติ ทุมฺเมโธ อธุรายํ นิยุญฺชติ
ทุนฺนโย เสยฺยโส โหติ สมฺมา วุตฺโต ปกุปฺปติ
วินยํ โส น ชานาติ สาธุ ตสฺส อทสฺสนํ.
คนปัญญาทราม ย่อมแนะนำข้อที่ไม่ควรแนะนำ
ย่อมประกอบตนไว้ในกิจที่มิใช่ธุระ
การแนะนำเขาก็แสนยาก
เพราะเขาถูกว่ากล่าวโดยดี ก็โกรธ
พาลนั้นไม่รู้จักวินัย การไม่เห็นเขาเสียได้ก็เป็นการดี.
พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อทรงติเตียนการคบพาลโดยอาการทั้งปวงอย่างนี้
จึงตรัสว่าการไม่คบพาลเป็นมงคล