พระขีณาสพที่ฟังมาน้อยไม่ฉลาดในพุทธบัญญัติ ย่อมต้องอาบัติเพราะรับเงินรับทอง ในทางมโนทวารด้วยอำนาจยินดีเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน.
- ฮิต: 3535
ข้อมูลจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
(พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน) และ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๖) (ปกสีแดง)
“พระขีณาสพที่ฟังมาน้อย
ไม่ฉลาดในพุทธบัญญัติ
ย่อมต้องอาบัติเพราะรับเงินรับทอง
ในทางมโนทวาร
ด้วยอำนาจยินดีเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน.”
“พระขีณาสพมีกายสมาจารเป็นต้น
บริสุทธิ์ไม่เท่ากับพระตถาคต.”
เล่ม ๑๖ หน้า ๓๐๒-๓๐๓ (ปกสีน้ำเงิน) / หน้า ๒๘๘-๒๘๙ (ปกสีแดง)
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒
บางส่วนของ อรรถกถาสังคีติสูตร
ถามว่า พระขีณาสพอื่น ๆ มีกายสมาจารเป็นต้น
ไม่บริสุทธิ์กระนั้นหรือ
ตอบว่า ไม่ใช่ไม่บริสุทธิ์
เพียงแต่ว่าบริสุทธิ์ไม่เท่ากับพระตถาคต.
พระขีณาสพที่ฟังมาน้อย
ย่อมไม่ต้องอาบัติที่เป็นโลกวัชชะ ก็จริงอยู่,
แต่เพราะไม่ฉลาดในพุทธบัญญัติ
ก็ย่อมจะต้องอาบัติในกายทวาร
ประเภททำวิหาร ทำกุฏิ ( คลาดเคลื่อนไปจากพุทธบัญญัติ )
อยู่ร่วมเรือน นอนร่วมกัน ( กับอนุปสัมบัน เป็นต้น ).
ย่อมต้องอาบัติในวจีทวารประเภทชักสื่อ
กล่าวธรรมโดยบท พูดเกินกว่า ๕-๖ คำ
บอกอาบัติที่เป็นจริง ( เป็นต้น ).
ย่อมต้องอาบัติเพราะรับเงินรับทอง
ในทางมโนทวาร
ด้วยอำนาจยินดีเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน.
แม้พระขีณาสพ ขนาดพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
ก็ยังเกิดมโนทุจริตขึ้นได้
ด้วยอำนาจที่นึกตำหนิ ในมโนทวาร.
เมื่อศากยะปาตุเมยยกะ ขอขมาพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพื่อประโยชน์แก่พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ
ในคราวที่ทรงประณาม พระเถระทั้งสองนั้น
พร้อมกับภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ในเรื่องปาตุมะ
พระเถระ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า.
" เธอคิดอย่างไร สารีบุตร เมื่อภิกษุสงฆ์ถูกเราประณามแล้ว".
ดังนี้ ก็ให้เกิดความคิดขึ้นว่า
"เราถูกพระศาสดาประณาม เพราะไม่ฉลาดเรื่องบริษัท.
ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจะไม่สอนคนอื่นละ"
จึงได้กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามีความคิดอย่างนี้ว่า "
ภิกษุสงฆ์อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประณามแล้ว,
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จักทรงขวนขวายน้อย
ประกอบทิฐธรรมสุขวิหารธรรมอยู่ แม้เราทั้งสองก็จัก
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ ๓๐๓ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ขวนขวายน้อย ประกอบทิฐธรรมสุขวิหารธรรมอยู่.
ลำดับนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงยกข้อตำหนิ
เพราะมโนทุจริตนั้น ของพระเถระ จึงตรัสว่า
"เธอจงรอก่อนสารีบุตร.
ความคิดอย่างนี้ไม่ควรที่เธอจะให้เกิดขึ้นอีกเลยสารีบุตร".
แม้เพียงความคิดว่า
"เราจะไม่ว่ากล่าวสั่งสอนคนอื่น อย่างนี้"
ก็ชื่อว่าเป็นมโนทุจริต ของพระเถระ
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมไม่มีพระดำริเช่นนั้น
และการที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว
จะไม่พึงมีทุจริตนั้น ไม่ใช่ของน่าอัศจรรย์.
แม้แต่ดำรงอยู่ในภูมิแห่งพระโพธิสัตว์
ทรงประกอบความเพียรอยู่ ๖ ปี พระองค์ก็มิได้มีทุจริต.
แม้เมื่อเหล่าเทวดาเกิดความสงสัยขึ้นอย่างนี้ว่า
"หนังท้องติดกระดูกสันหลัง (อย่างนี้)
พระสมณโคดม ถึงแก่การดับสูญ ( เสียละกระมัง )"
เมื่อถูกมารใจบาป กล่าวอยู่ว่า
" สิทธัตถะ ท่านจะต้องมาลำบากลำบนทำไม
ท่านสามารถที่จะเสวยโภคสมบัติไปด้วย
สร้างบุญกุศลไปด้วยได้" ดังนี้
แม้เพียงความคิดว่า
"เราจัก ( กลับไป ) เสวยโภคสมบัติ" ก็ไม่เกิด.
ครั้นแล้ว มารก็ติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในเวลาที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ถึง ๖ ปี
ในเวลาที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว อีก ๑ ปี
ก็มิได้เห็นโทษผิดอันหนึ่งอันใด
จึงกล่าวความข้อนี้ไว้ แล้วหลบไป ว่า
" เราติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปทุกย่างก้าว
ตลอดเวลา ๗ ปี ก็มิได้เห็นข้อบกพร่องใด ๆ
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระสติไพบูลย์นั้นเลย"