ก็เรื่องความลำบากของเราและความขัดใจของบุคคลผู้ต้องอาบัติ นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ส่วนเรื่องที่เราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลได้นั่นแล เป็นเรื่องใหญ่กว่า
- ฮิต: 5309
ข้อมูลจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ชุด ๙๑ เล่ม ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย
(พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน) และ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๔๖) (ปกสีแดง)
“ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ว่า
ความลำบากจักมีแก่เรา
และความขัดใจจักมีแก่บุคคลผู้ต้องอาบัติ
เพราะบุคคลผู้ต้องอาบัติเป็นคนมักโกรธ
มีความผูกโกรธ มีทิฏฐิมั่น สละคืนได้ยาก
แต่เราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลได้
ก็เรื่องความลำบากของเรา
และความขัดใจของบุคคลผู้ต้องอาบัติ
นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย
ส่วนเรื่องที่เราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล
ดำรงอยู่ในกุศลได้นั่นแล เป็นเรื่องใหญ่กว่า”
เล่ม ๒๒ หน้า ๖๕-๗๑ (ปกสีน้ำเงิน) / หน้า ๖๒-๖๘ (ปกสีแดง)
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑
๓. กินติสูตร
พระพุทโธวาทเรื่องสามัคคี
[๔๒] ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในป่าชัฏ
สถานที่บวงสรวงพลีกรรม ณ กรุงกุสินารา
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอมีความดำริในเราบ้างหรือว่า
สมณโคดมแสดงธรรมเพราะเหตุจีวร
หรือเพราะเหตุบิณฑบาต
หรือเพราะเหตุเสนาสนะ
หรือเพราะเหตุหวังสุขในภพน้อยภพใหญ่ด้วยอาการนี้.
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกข้าพระองค์ไม่มีความดำริ
ในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้เลยว่า
พระสมณโคดมทรงแสดงธรรม
เพราะเหตุจีวรหรือเพราะเหตุบิณฑบาต
หรือเพราะเหตุเสนาสนะ
หรือเพราะเหตุหวังสุขในภพน้อยภพใหญ่ด้วยอาการนี้.
[๔๓] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เป็นอันว่า พวกเธอไม่มีความดำริในเราอย่างนี้เลยว่า
พระสมณโคดมแสดงธรรม
เพราะเหตุจีวร หรือเพราะเหตุบิณฑบาต
หรือเพราะเหตุเสนาสนะ
หรือเพราะเหตุหวังสุขในภพน้อยภพใหญ่ ด้วยอาการนี้
ถ้าเช่นนั้น พวกเธอมีความดำริในเราอย่างไรเล่า.
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พวกข้าพระองค์มีความดำริ
ในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงอนุเคราะห์
ทรงแสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
ทรงอาศัยความอนุเคราะห์แสดงธรรม.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๖๖ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
[๔๔] พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เป็นอันว่าพวกเธอมีความดำริในเราอย่างนี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อนุเคราะห์
แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล
อาศัยความอนุเคราะห์แสดงธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมเหล่าใด
อันเราแสดงแล้วแก่เธอทั้งหลายด้วยความรู้ยิ่ง คือ
สติปัฏฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔
อิทธิบาท ๔
อินทรีย์ ๕
พละ ๕
โพชฌงค์ ๗
อริยมรรคมีองค์ ๘
เธอทั้งปวงพึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน
ยินดีต่อกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่ ในธรรมเหล่านั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็เมื่อพวกเธอนั้นพร้อมเพรียงกัน
ยินดีต่อกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่
จะพึงมีภิกษุผู้กล่าวต่างกันในธรรมอันยิ่ง เป็นสองรูป.
[๔๕] ถ้าพวกเธอมีความเห็นในภิกษุสองรูปนั้นอย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสองนี้ มีวาทะต่างกันโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
พวกเธอสำคัญภิกษุรูปใดในสองรูปนั้นว่า
ว่าง่ายกว่ากัน พึงเข้าไปหาภิกษุรูปนั้น
แล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสอง มีวาทะต่างกันโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
ขอท่านโปรดทราบความต่างกันนั้น
แม้โดยอาการที่ต่างกันโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
ท่านทั้งสอง อย่าถึงต้องวิวาทกันเลย
ต่อนั้น พวกเธอสำคัญภิกษุอื่น ๆ
ที่เป็นฝ่ายเดียวกันรูปใดว่า ว่าง่ายกว่ากัน
พึงเข้าไปหารูปนั้น แล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสอง มีวาทะต่างกันโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
ขอท่านโปรดทราบความต่างกันนี้นั้น
แม้โดยอาการที่ต่างกัน โดยอรรถและโดยพยัญชนะ
ท่านทั้งสองอย่าถึงต้องวิวาทกันเลย ด้วยประการนี้
พวกเธอต้องจำข้อที่ภิกษุทั้งสองนั้นถือผิด
โดยเป็นข้อผิดไว้ ครั้นจำได้แล้ว
ข้อใดเป็นธรรมเป็นวินัย พึงกล่าวข้อนั้น.
[๔๖] ถ้าพวกเธอมีความเห็นในภิกษุสองรูปนั้นอย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสองนี้แล มีวาทะต่างกันแต่โดยอรรถ
ย่อมลงกันได้โดยพยัญชนะ พวกเธอ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๖๗ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
สำคัญภิกษุรูปใดในสองรูปนั้นว่า
ว่าง่ายกว่ากัน พึงเข้าไปหาภิกษุรูปนั้น
แล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสอง มีวาทะต่างกันโดยอรรถ
ย่อมลงกันได้โดยพยัญชนะ
ขอท่านโปรดทราบความต่างกันนี้นั้น
แม้โดยอาการที่ลงกันได้โดยพยัญชนะ
ท่านทั้งสอง อย่าถึงต้องวิวาทกันเลย
ต่อนั้น พวกเธอสำคัญภิกษุอื่น ๆ
ที่เป็นฝ่ายเดียวกันรูปใดว่า ว่าง่ายกว่า
พึงเข้าไปหารูปนั้น แล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสอง มีวาทะต่างกัน แต่โดยอรรถ
ย่อมลงกันได้โดยพยัญชนะ
ขอท่านโปรดทราบความต่างกันนี้นั้น
แม้โดยอาการที่ลงกันได้โดยพยัญชนะ
ท่านทั้งสอง อย่าถึงต้องวิวาทกันเลย
ด้วยประการนี้
พวกเธอต้องจำข้อที่ภิกษุทั้งสองนั้นถือผิด โดยเป็นข้อผิด
และจำข้อที่ภิกษุทั้งสองนั้นถือถูกโดยเป็นข้อถูกไว้
ครั้นจำได้แล้ว ข้อใดเป็นธรรม เป็นวินัย พึงกล่าวข้อนั้น.
[๔๗] ถ้าพวกเธอมีความเห็นในภิกษุสองรูปนั้นอย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสองนี้แล มีวาทะลงกันได้โดยอรรถ
ยังต่างกันแต่โดยพยัญชนะ
พวกเธอสำคัญภิกษุรูปใดในสองรูปนั้นว่า ว่าง่ายกว่ากัน
พึงเข้าไปหาภิกษุรูปนั้นแล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสอง มีวาทะลงกันได้โดยอรรถ
ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ
ขอท่านโปรดทราบความต่างกันนี้นั้น
แม้โดยอาการที่ลงกันได้โดยอรรถ
ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ
ก็เรื่องพยัญชนะนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย
ท่านทั้งสองอย่าถึงต้องวิวาทกันในเรื่องเล็กน้อยเลย
ต่อนั้น พวกเธอสำคัญภิกษุอื่น ๆ
ที่เป็นฝ่ายเดียวกันรูปใดว่า ว่าง่ายกว่า
พึงเข้าไปหารูปนั้น แล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสอง มีวาทะลงกันได้โดยอรรถ
ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ
ขอท่านโปรดทราบความต่างกันนี้นั้น
แม้โดยอาการที่ลงกันได้โดยอรรถ
ต่างกันแต่โดยพยัญชนะ
ก็เรื่องพยัญชนะนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย
ท่านทั้งสอง อย่าถึงต้องวิวาทกันในเรื่องเล็กน้อยเลย
ด้วยประการนี้
พวกเธอต้องจำข้อที่ภิกษุทั้งสองนั้นถือถูกโดยเป็นข้อถูก
และจำข้อที่ภิกษุทั้งสองนั้น
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๖๘ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
ถือผิด โดยเป็นข้อผิดไว้
ครั้นจำได้แล้ว
ข้อใดเป็นธรรมเป็นวินัย พึงกล่าวข้อนั้น.
[๔๘] ถ้าพวกเธอมีความเห็นในภิกษุสองรูปนั้นอย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสองนี้แล มีวาทะสมกันลงกัน
ทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
พวกเธอสำคัญภิกษุรูปใดในสองรูปนั้นว่า ว่าง่ายกว่ากัน
พึงเข้าไปหาภิกษุรูปนั้น แล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสอง มีวาทะสมกันลงกัน
ทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
ขอท่านโปรดทราบคำที่ต่างกันนี้นั้น
แม้โดยอาการที่สมกันลงกันได้ทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
ท่านผู้มีอายุทั้งสอง อย่าถึงต้องวิวาทกันเลย
ต่อนั้นพวกเธอสำคัญภิกษุอื่น ๆ
ที่เป็นฝ่ายเดียวกัน รูปใดว่า ว่าง่ายกว่า
พึงเข้าไปหารูปนั้นแล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านทั้งสอง มีวาทะสมกันลงกัน
ทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
ขอท่านโปรดทราบคำที่ต่างกันนี้นั้น
แม้โดยอาการที่สมกันลงกันได้
ทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
ท่านทั้งสอง อย่าถึงต้องวิวาทกันเลย
ด้วยประการนี้
พวกเธอต้องจำข้อที่ภิกษุทั้งสองนั้นถือถูก
โดยเป็นข้อถูกไว้ ครั้นจำได้แล้ว
ข้อใดเป็นธรรม เป็นวินัย พึงกล่าวข้อนั้น.
[๔๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็เมื่อพวกเธอนั้นพร้อมเพรียงกัน
ยินดีต่อกันไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่
ภิกษุรูปหนึ่งพึงมีอาบัติ มีวีติกกมโทษ
พวกเธออย่าเพ่อโจทภิกษุรูปนั้นด้วยข้อโจท
พึงสอบสวนบุคคลก่อนว่า
ด้วยอาการนี้ความไม่ลำบากจักมีแก่เรา
และความไม่ขัดใจจักมีแก่บุคคลผู้ต้องอาบัติ
เพราะบุคคลผู้ต้องอาบัติเป็นคนไม่มักโกรธ
ไม่ผูกโกรธ ไม่มีทิฏฐิมั่น ยอมสละคืนได้ง่าย
และเราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ ก็ควรพูด.
อนึ่ง ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ว่า
ความลำบากจักมีแก่เรา
และความขัดใจจักมีแก่บุคคลผู้ต้องอาบัติ
เพราะบุคคลผู้ต้องอาบัติ เป็นคนมักโกรธ
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๖๙ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
มีความผูกโกรธ มีทิฏฐิมั่น แต่ยอมสละคืนได้ง่าย
และเราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลได้
ก็เรื่องความลำบากของเรา
และความขัดใจของบุคคลผู้ต้องอาบัตินี้ เป็นเรื่องเล็กน้อย
ส่วนเรื่องที่เราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล
ดำรงอยู่ในกุศลนั่นแล เป็นเรื่องใหญ่กว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ ก็ควรพูด.
อนึ่ง ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ว่า
ความลำบากจักมีแก่เรา
และความไม่ขัดใจจักมีแก่บุคคลผู้ต้องอาบัติ
เพราะบุคคลผู้ต้องอาบัติเป็นคนไม่มักโกรธ
ไม่ผูกโกรธ แต่มีทิฏฐิมั่น ยอมสละคืนได้ง่าย
และเราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลได้
ก็เรื่องความลำบากของเรา เป็นเรื่องเล็กน้อย
ส่วนเรื่องที่เราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล
ดำรงอยู่ในกุศลได้นั่นแล เป็นเรื่องใหญ่กว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ ก็ควรพูด.
ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ว่า
ความลำบากจักมีแก่เรา
และความขัดใจจักมีแก่บุคคลผู้ต้องอาบัติ
เพราะบุคคลผู้ต้องอาบัติเป็นคนมักโกรธ
มีความผูกโกรธ มีทิฏฐิมั่น สละคืนได้ยาก
แต่เราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลได้
ก็เรื่องความลำบากของเรา
และความขัดใจของบุคคลผู้ต้องอาบัติ นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย
ส่วนเรื่องที่เราอาจจะให้เขาออกจากอกุศล
ดำรงอยู่ในกุศลได้นั่นแล เป็นเรื่องใหญ่กว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ ก็ควรพูด.
แต่ถ้าพวกเธอมีความเห็นอย่างนี้ว่า
ความลำบากจักมีแก่เรา
และความขัดใจจักมีแก่บุคคลผู้ต้องอาบัติ
เพราะบุคคลผู้ต้องอาบัติเป็นคนมักโกรธ
มีความผูกโกรธ มีทิฏฐิมั่น สละคืนได้ยาก
ทั้งเราก็ไม่อาจจะให้เขาออกจากอกุศล ดำรงอยู่ในกุศลได้
พวกเธอก็ต้องไม่ละเลยอุเบกขาในบุคคลเช่นนี้.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๗๐ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
[๕๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ก็พวกเธอนั้นที่พร้อมเพรียงกัน
ยินดีต่อกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่
พึงเกิดการพูดยุแหย่ ตีเสมอกันด้วยทิฏฐิ
ผูกใจเจ็บกัน ไม่เชื่อถือกัน ไม่ยินดีต่อกันขึ้น
บรรดาภิกษุที่เป็นฝ่ายเดียวกันในที่นั้น
หมายสำคัญเฉพาะรูปใดว่าเป็นผู้ว่าง่าย
เธอพึงเข้าไปหารูปนั้น แล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านผู้มีอายุ เรื่องที่พวกเราพร้อมเพรียงกัน
ยินดีต่อกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่
เกิดการพูดยุแหย่กัน ตีเสมอกัน ด้วยทิฏฐิ
ผูกใจเจ็บกัน ไม่เชื่อถือกัน ไม่ยินดีต่อกันขึ้นนั้น
พระสมณะเมื่อทรงทราบจะพึงทรงติเตียนได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อภิกษุจะชี้แจงโดยชอบ พึงชี้แจงอย่างนี้ว่า
ท่านผู้มีอายุ
เรี่องที่พวกเราพร้อมเพรียงกัน
ยินดีต่อกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่
เกิดการยุแหย่ ตีเสมอกันด้วยทิฏฐิ
ผูกใจเจ็บกัน ไม่เชื่อถือกัน ไม่ยินดีต่อกันขึ้นนั้น
พระสมณะเมื่อทรงทราบจะพึงทรงติเตียนได้
ก็ภิกษุอื่น ๆ จะพึงถามเธอว่า
ท่านผู้มีอายุ
ภิกษุไม่ละธรรมนี้แล้ว
จะพึงทำนิพพานให้แจ้งได้หรือ
ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ
พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า
ท่านผู้มีอายุ
ภิกษุไม่ละธรรมนี้แล้ว
จะพึงทำนิพพานให้แจ้งไม่ได้
ต่อนั้น พวกเธอสำคัญในเหล่าภิกษุอื่น ๆ
ที่เป็นฝ่ายเดียวกันเฉพาะรูปใดว่า เป็นผู้ว่าง่าย
พึงเข้าไปหารูปนั้น แล้วกล่าวแก่เธออย่างนี้ว่า
ท่านผู้มีอายุ
เรื่องที่พวกเราพร้อมเพรียงกัน
ยินดีต่อกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่
เกิดการพูดยุแหย่กัน ตีเสมอกัน ด้วยทิฏฐิ
ผูกใจเจ็บกัน ไม่เชื่อถือกัน ไม่ยินดีต่อกันขึ้นนั้น
พระสมณะเมื่อทรงทราบจะพึงทรงติเตียนได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเมื่อจะชี้แจงโดยชอบ พึงชี้แจงอย่างนี้ว่า
ท่านผู้มีอายุ
เรื่องที่พวกเราพร้อมเพรียงกัน
ยินดีต่อกัน ไม่วิวาทกัน ศึกษาอยู่
เกิดการพูดยุแหย่ ตีเสมอกันด้วยทิฏฐิ
ผูกใจเจ็บกัน ไม่เชื่อถือกัน ไม่ยินดีต่อกันขึ้นนั้น
พระสมณะเมื่อทรงทราบจะพึงติเตียนได้
ก็ภิกษุอื่น ๆ จะพึงถามเธอว่า
ท่านผู้มีอายุ ภิกษุไม่ละธรรมนี้
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ ๗๑ (พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๒๕) (ปกสีน้ำเงิน)
แล้ว จะพึงทำนิพพานให้แจ้งได้หรือ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเมื่อจะพยากรณ์โดยชอบพึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า
ท่านผู้มีอายุ
ภิกษุไม่ละธรรมนี้แล้ว
จะพึงทำนิพพานให้แจ้งไม่ได้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าภิกษุอื่น ๆ พึงถามเธออย่างนี้ว่า
ท่านให้ภิกษุเหล่านี้ของพวกเรา ออกจากอกุศล
ดำรงอยู่ในกุศลแล้วหรือ
ภิกษุเมื่อจะพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า
ท่านผู้มีอายุ ในเรื่องนี้
ข้าพเจ้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าฟังธรรมของพระองค์แล้ว
ได้กล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้น
ภิกษุเหล่านั้นฟังธรรมแล้ว
ออกจากอกุศล และดำรงอยู่ในกุศลได้แล้ว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเมื่อพยากรณ์อย่างนี้แล
ชื่อว่าไม่ยกตน ไม่ข่มคนอื่น
พยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรมด้วย
ทั้งวาทะของศิษย์อะไร ๆ อันชอบด้วยเหตุ
ย่อมไม่ประสบข้อน่าตำหนิด้วย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.
จบ กินติสูตรที่ ๓